บันไดแอ็ปสแตร็ก
บันไดแอ็ปสแตร็ก
เรื่อง/ภาพ เดชา เวชชพิพัฒน์
ที่เที่ยวแห่งหนึ่งในเมืองไมเซอร์คือ “ภูจมุณฑี” (Chamundi Hill) เป็นภูเขาที่อยู่ใกล้ไมเซอร์ที่สุด ขึ้นไปแล้วเห็นหมดว่าบ้านใครอยู่ตรงไหน ไม่ต้องพึ่งโดรน ดาวเทียม หรือจีพีเอส
แต่ก็เห็นแบบห่างๆนะครับ ... บ้านไหนแม่บ้านกำลังทำข้าวกล่องให้ชู้รักอยู่ไม่อาจดูเห็นได้ ถ้าอยากเห็นก็ซื้อหนังแผ่นเรื่อง The Lunch Box มาดูเอง อิอิ
ภูจมุณฑีนั้นเหมือนเป็นพี่น้องกับภูกระดึง มองจากที่ไกลเห็นเป็นภูยอดตัดคล้ายๆกัน ความสูงก็ไล่เลี่ยกันอีก ภูจมุณฑีสูง 1,000 เมตร ภูกระดึงสูงกว่านิดหน่อยคือสูง 1,200 เมตร แต่ภูกระดึงเป็นภูเขาที่ปกคลุมด้วยป่าไม้ มีต้นไม้ขึ้นแน่นเหมือนปลูกถั่วงอกบนเนินหลังบ้าน ส่วนภูจมุณฑีมีต้นไม้หรอมแหรม เปรียบเป็นหัวล้านก็จัดอยู่ประเภท “ทุ่งหมาหลง” แถมข้างบนภูยังคอมเมอร์เชียลสุดๆ นอกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้วยังมีโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของ ถึงกระนั้นก็ไม่เคยมีใครคิดจะสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูจมุณฑี
วิธีขึ้นภูจมุณฑีมีสามวิธี วิธีแรกเป็นวิธีที่นักแสวงบุญนิยมทำกันคือขึ้นบันได ซึ่งมีถึงหนึ่งพันขึ้น วิธีที่สองคือนั่งรถขึ้นไป วิธีที่สามนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปลงบนยอดภู ตัวผมเองนอกจากไม่แสวงบุญแล้วยังนิยมสะสมบาป จึงเดินขึ้นไม่ไหว อีกทั้งไม่ได้มีญาติเป็นข้าราชการระดับสูง การ “นั่ง ฮ.” ขึ้นภูกระดึง เอ๊ย ภูจมุณฑี จึงหมดสิทธิ์ เหลือวิธีเดียวคือนั่งรถบัสขึ้นไป
ขึ้นไปถึงก็เจอวัดฮินดูชื่อ Sri Chamundeshwari Temple สร้างในศตวรรษที่ 12 สมัยอาณาจักรฮอยสาลาเรืองอำนาจ ว่ากันว่าประติมากรรมบนโคปุรัมด้านหน้าวัดทำด้วยเงินและทองคำ ซึ่งผมก็พยายามส่องดูแต่ไม่เห็น เพราะไม่ง่ายเหมือน “ส่องเฟซบุ๊ก” ชาวบ้าน
บริเวณหน้าวัด Sri Chamundeshwari นั้นคึกคักเป็นอย่างยิ่ง มีทั้งนักแสวงบุญ นักท่องเที่ยว พ่อค้า แม่ค้า แต่ผมกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่สำคัญขาดหายไป ... คนขายล็อตเตอรี่ ไงครับ
เครื่องบูชาวางขายหน้าวัด
ผู้แสวงบุญในชุดสุดเท่และเหมาะกับอากาศที่ร้อนตับแตก
พิธีกรรมหน้าวัด
เทพเจ้าในรถแห่ที่จอดอยู่ข้างวัด
สถานที่เที่ยวชมลำดับต่อไปคือ “โคนนทิแห่งไมเซอร์” ฝรั่งเรียกว่า Nandi of Mysore แกะสลักจากหินแกรนิตดำ สูง 4.9 ยาว 7.6 เมตร ซึ่งโคตัวนี้แหละที่ทำให้ผมตัดสินใจออกนอกเส้นทางในแคว้นทมิฬนาฑู เพื่อมาเที่ยวเมืองไมเซอร์ในแคว้นกรณาฏกะ เพราะเห็นรูปถ่ายในหนังสือนำเที่ยวแล้วตื่นตาตื่นใจความใหญ่โตของโคตัวนี้ ยิ่งรู้ว่าเป็นสีดำเพราะแกะสลักจากหินแกรนิตก้อนเดียวก็ยิ่งอยากมาเห็นกับตา แต่ปรากฏว่า ความประทับใจกลับไปอยู่ที่บรรยากาศตอนเดินไปที่ตั้งโคตัวนี้
“บันไดแอ็ปสแตร็ก” คือหัวใจของบรรยากาศที่ผมพูดถึง
หลังถามทางจนมั่นใจแล้วว่าต้องเดินลงบันไดไปครึ่งชั่วโมงจึงจะได้เห็นรูปสลักโคนนทิ ผมก็เรียกแรงด้วยการหายใจเข้าเต็มปอด 108 ครั้ง ยืนตรง หลับตา ยกสองแขนเหยียดตรงขึ้นเหนือหัว สูดลมหายใจเข้า ฮืดดดดดดดดดด อั้นไว้นานๆ แล้วค่อยๆ ปล่อยออก ฮืออออออออออ
ผมยืนทำตรงหัวบันไดนั่นแหละครับ ใครมองก็ช่างเขาเพราะผมไม่เห็น (บอกแล้วไงว่าหลับตา) แถมรู้สึกสะใจที่ได้ทำอะไรประชดสังคมแห่งภูจมุณฑี อุตส่าห์เสียเงินนั่งรถบัสขึ้นมาเที่ยวแล้ว น่าจะสบายประมาณว่า “นั่งบนภูดูเสือกัดกัน” ที่ไหนได้ต้องเดินลงไปดูโคอีก ครึ่งชั่วโมงเชียวนะครับ แถมท้องว่างอีกต่างหาก เพราะร้านอาหารที่อยู่หน้าวัดก็ขายแต่ชา กาแฟ กับของว่างประเภททอดๆ ที่ผมเห็นน้ำมันใช้ทอดแล้วกินไม่ลงจริงๆ
เติมปอดครบ 108 ครั้งและสามารถทำใจได้แล้วว่าเดินลงไปแล้วต้องเดินขึ้นมาเองอีกนะ ไม่มีใครอุ้มนะ ผมก็บรรจงจรดปลายเท้าที่สั่นระริกลงไปบันไดขั้นแรก จากนั้นก็ตามด้วยขั้นที่สอง สาม สี่ ... เดินไปๆ เดินจนลืมนับก็รู้สึกว่าตนเองกำลังอยู่ในสถานที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง มองรอบตัวก็เห็นแต่ต้นไม้แห้งๆ มองไปไกลหน่อยก็เห็นท้องฟ้าสีซีด มองไปหลังพุ่มไม้ก็เห็นหนุ่มสาวชาวไมเซอร์นั่งมองตาหาหัวใจกัน มองโน่นมองนี่ก็หาคำตอบไม่ได้ว่าสวยตรงไหน อย่างไร ในที่สุดก็ก้มมองต่ำจึงร้อง “อ๋อ” ออกมาดังลั่นภู
ด้วยความศรัทธรา บันไดหินทุกขั้นจึงถูกแต้มด้วยผงสีเหลือง ส้ม และ แดง ส่งผลให้คนที่ยืนอยู่แบบ ... หน้าก็บันได หลังก็บรรลัย เอ๊ย หลังก็บันได รู้สึกตัวเองเหมือนอยู่ในภาพวาด ซึ่งไม่ใช่ภาพวาดธรรมดาเสียด้วย แต่เป็นภาพ Abstract เชียวนะ จะบอกให้ ไม่เชื่อก็ดูรูปถ่ายครับ
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเดินขึ้นลงเขาที่ทำให้ผมมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ความเหนื่อยความหิวไม่ต้องพูดถึง เพราะความสวยงามเข้ามาแทนที่ ถึงขนาดเดินไปถึงที่ตั้งโคนนทิแล้วผมยังนั่งพักด้วยการชมบันไดแบบไม่วางตา
โคนนทิแห่งไมเซอร์
ฝีมือการแกะสลักที่งดงามอ่อนช้อย
ยิ่งดูก็ยิ่งสวย ทั้งในแง่ความเหมือนจริงและความศรัทธรา
###
ติดตามเรื่องท่องเที่ยวสไตล์ผม
ด้วยการกดไลค์ FB แฟนเพจ “เที่ยวเหอะน่า”
https://www.facebook.com/TeawHerNaa/