แต่สุดท้ายแล้วเหตุผลที่เรียนนอกเมือง เพราะว่าทางเอเจ้นแจ้งกับคุณแม่ว่า เราอาจจะไม่ได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษมากนัก เราอาจจะพูดแต่ภาษาไทย และเหตุผลต่างๆนาๆ…
การเดินทางอันยิ่งใหญ่ของเราเริ่มต้นเมื่อต้นปี 2007 เป็นการเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกในชีวิต มันมีหลายหลายอารมณ์มากๆเลย ทั้งกลัวตื่นเต้นดีใจ แต่สุดท้ายแล้วเราก็ผ่านไปได้ด้วยดี
ณ ซิดนีย์ เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว ภารกิจแรกคือ จะต้องหาเอเจ้นคนไทยที่มารับเราให้เจอ ซึ่งจะเป็นการเจอกันครั้งแรกของทั้งคู่ โดยที่เราและเขาจะเห็นหน้ากันจากรูปภาพที่ทางเอเจ้นที่ไทยนำมาให้ วินาทีแรกที่เราเห็นพี่เอเจ้นคนไทยที่มารอรับเรา (แอบรู้สึกอายมากๆค่ะ เพราะว่าเขาปริ้นรูปภาพเราขนาดเท่ากระดาษ A4) ตื่นเต้นทั้งคู่ ต่างคนต่างแนะนำตัว พี่เอเจ้นก็ขับพาเราไปบ้าน host family ซึ่งระหว่างทางที่นั่งรถจากสนามบินไปรู้สึกตื่นเต้นมากๆกับสภาพแวดล้อม อากาศ ผู้คน ยิ่งละแวกบ้านของ host มีแต่บ้านหลังใหญ่ สวยๆทั้งนั้นเลย
ก่อนเราจะมาเรามีแค่ข้อมูลคร่าวๆและชื่อที่อยู่ของhost แต่ไม่เคยเห็นหน้า เราวางแผนไว้ว่าจะอยู่กับครอบครัวนี้ 6 เดือนจนจบคอร์ส ณ ตอนที่เจอกันคือรู้สึกว่า น่ารักจังเลย host ชั้นเป็นคู่สามีภรรยา ชาวอิตาเลียน อายุประมาณ 60-65 ปี ทั้งคู่น่ารักต้อนรับเราดีมากๆ บ้านก็สวยมากๆสะอาดด้วย
ช่วงเวลาที่เราได้อยู่กับ host แรกๆนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีมากค่ะ เรารู้สึกโชคดีที่ได้ครอบครัวนี้ดูแลเรา เพราะตอนแรกเราค่อนข้างกังวลกลัวที่จะเจอครอบครัวดูแลไม่ดี
เราสนิทกับ host ผู้หญิงมากๆ เขาดูแลเราโดยที่เตรียมอาหารเช้า กลางวัน เย็น (*ปกติแล้วค่าใช้จ่ายจะรวมแค่อาหารเช้าและเย็น ใน จ-ศ*) กอดหอมกันทุกเช้าและเย็น ในวันหยุดก็พาเราไปทำกิจกรรมกับทางครอบครัวเขา พาไปเที่ยวสถานที่รอบๆบ้าน เราสามารถที่จะพาเพื่อนมานอนค้างหรือมาทานอาหารที่บ้านได้ โดยที่ host ผู้หญิงจะทำอาหารอิตาเลียนให้ทานและสอนเรากับเพื่อนๆทำ ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั่นเรามีความสุขมากๆ คุณแม่เราก็สบายใจและคอยส่งของขวัญจากเมืองไทยมาให้ทาง host เรื่อยๆ
แต่ในขณะเดียวกันนั้นเราเองก็มีความรู้สึกแปลกๆกับสามีของ host ผู้หญิง เพราะเขาจะชอบแอบมองเราแบบตาเยิ้มๆ ซึ่งเราก็ไม่อยากจะคิดมากหรือมองในแง่ลบเพราะเขาเองก็อายุประมาณปู่เราได้
สุดท้ายสิ่งที่เราคิดก็เป็นจริงจนได้ วันที่เกิดเรื่องเราจำได้แม่นว่า เราทานข้าวเย็นกันเสร็จ ก็ล้างจานทำความสะอาด (เป็นหน้าที่เรา) หลังจากเราทำความสะอาดเสร็จเราก็ยืนคุยกันหัวเราะเฮฮาแบบปกติ host ผญ. ขอตัวไปอาบน้ำก่อน เหบือเรากับ host ผช. 2 คนที่ครัว
เรายืนที่เคาเตอร์กำลังจะยืนเลือกผลไม้ในตระกร้า ส่วน host ผช. นั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าว เขาเรียกชื่อเราพร้อมกวักมือเรียกให้ไปหา ซึ่งเราก็เดินไปหาเขาที่โต๊ะกินข้าวแล้วภาพหลังจากนั้นคือ เมื่อเราเดินไปถึงที่เขานั่ง เขาดึงแขนเราเข้าหาตัวเขา พร้อมกับจูบเรา
เราช๊อค ตัวชา งงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันชาไปทั้งตัว เราเดินขึ้นห้องเราไปอย่างช้าๆ สิ่งที่เราจำได้คือ host ผช.บอกเราว่า 4 ทุ่มมาเจอกันที่ครัวนะ
เมื่อเราถึงห้อง สิ่งแรกที่เราทำคือ รีบเอากระเป๋าเดินทางมาไว้ที่ประตู (เพราะห้องนอนที่นั่นจะไม่สามารถล๊อกห้องได้) หลังจากนั้นเราเริ่ม ร้องไห้แล้วโทรหาพี่คนไทยที่เรียนภาษาด้วยกันพร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พี่คนไทยคนนี้พักอยู่กับพี่สาว เมื่อพี่สาวเขาทราบเรื่อง ทั้ง 2 คนรีบขับรถมาที่บ้าน host กลางดึกคืนนั้นเพื่อที่จะรับเราออกไป แต่เราเองไม่กล้าที่ขออนุญาต host จึงได้ปฏิเสธพี่ๆไป แต่ถึงยังไงก็นอนไม่หลับ เพราะมันระแวงไปหมด
วันรุ่งขึ้นเราไปเรียน เรารีบนำเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนสนิทคนฮ่องกงและเพื่อนคนไทยอีก 2 คนฟัง พร้อมทั้งโทรบอกคุณแม่และเอเจ้นของเราถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คุณแม่ตกใจและเป็นกังวลอย่างมากบอกให้เราย้ายออกทันที แต่สถานการณ์จริงนั้น การที่จะหา host ใหม่มันค่อนข้างใช้เวลาและเราก็กลัวที่จะเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก แต่สุดท้ายแล้วโชคก็เข้าข้างเรา พี่คนไทยที่อยู่กับพี่สาวนั้นมีห้องว่างให้เช่าอยู่ที่ Cabramatta ซึ่งไม่ไกลจาก Liverpool มากนัก เราตัดสินใจจะไปทันที แต่เรื่องมันเหมือนจะง่ายแต่มันไม่ง่ายเลยคะ….
สิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอนว่า มันทำให้เราเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงทั้งพฤติกรรม ทั้งการแสดงออกต่างๆ เราเริ่มเก็บตัวอยู่ในห้อง พูดน้อยลง บางครั้งเราเลี่ยงที่จะไม่ทานข้าวเย็นร่วมกัน เพราะไม่อยากเจอหน้า host ผช. เราเปลี่ยนไปมาก
ส่วนhost ผช. เริ่มแสดงอาการอย่างชัดเจน เช่น
- เพื่อนคนฮ่องกงมาค้างที่บ้าน เขาก็ไปคุยกับเพื่อนเราว่าชอบเรามากๆเลย ซึ่งตอนที่เพื่อนฮ่องกงมาบอกเรานั้นเพื่อนยังแสดงออกถึงความขยะแขยงในขณะที่เล่าให้เราฟัง
- บางครั้งเราจะไปเที่ยวในเมือง host ผช. ก็ชอบมาถามเราว่า มีเงินไปเที่ยวไหมรึจะเอาเงินไปเที่ยวไหม ซึ่งพอได้ยินมันยิ่งทำให้เรารังเกียจคนๆนี้มากขึ้น เรารู้สึกเหมือนเขาดูถูกเรา
- สิ่งที่แย่ที่สุดคือ วันนึงเขาได้ไปรอรับเราที่ป้ายรถเมล์หลังเลิกเรียนเพราะฝนตกหนักมากพอเราเห็นเขารอ เราไม่ขึ้น เรากางร่ม เดินกลับเอง ยอมให้ฝนสาด แต่ host ผช. ก็ขับรถตามบีบแตรเพื่อให้เราไปกับเขา ด้วยความรำคาญเราเลยขึ้นรถ พอเราขึ้นไปเขาก็เริ่มพรรณาเรื่องเราว่าชอบเรารักเรา ซึ่งเราสะอิดสะเอียนมากๆ นึกภาพคนแก่อายุ 60 กว่าได้ไหมอะคะ แต่ในขณะที่เขาพูดนั้นเราก็ได้ทำการบันทึกเสียงผ่านโทรศัพท์ไว้ด้วยเช่นกัน เราบันทึกไว้เพราะเราแค่จะเปิดให้น้องชายเราฟังเท่านั้น..
หลังจากเราคิดหาทางหาเหตุผลที่จะย้ายออกได้ เรารีบบอกล่วงหน้ากับทาง host ผญ. ประมาณ 1 อาทิตย์ว่าจะย้ายไปอยู่กับเพื่อน ซึ่งแน่นอนว่า host ผญ. สงสัย ไม่เชื่อ และเริ่มถามเราถึงสาเหตุจริงๆว่าเพราะอะไรกันแน่เราถึงต้องย้ายออกเขาจึงเรียกเราไปคุยในห้องนอนเขา และให้เราบอกเหตุผลที่เราจะย้ายไปจริงๆกับเขาๆจะไม่โกรธเราเลยตัดสินใจเล่าความจริงเรื่องสามีเขาพร้อมทั้งเปิดคลิปเสียงให้เขาฟัง พอเขาได้ยินเรื่องราว สิ่งที่เราเห็นคือ host ผญ. นั่งร้องไห้พร้อมทั้งขอโทษเรากับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาถามเราว่ามีใครได้ยินคลิปนี้บ้าง เราบอกว่ามีแค่น้องชายคนเดียว เขาจึงขอร้องเราว่าช่วยลบคลิปนี้ได้ไหม ซึ่งเราก็ได้ทำการลบคลิปนี้ต่อหน้า host ผญ. ในคืนนั้นเลยพอวันรุ่งขึ้นก็ทำการย้ายออก ร่ำลากันจากกันด้วยดี
หลังจากย้ายมา ชีวิตเราก็ดำเนินไปปกติ มีความสุขดี ไม่ต้องระแวงอะไร แต่อย่างว่าคะชีวิต ทุกข์กับสุขมักจะอยู่กับเราไม่ได้นาน อยู่ดีๆวันนึงเราไปเรียนตามปกติ คุณครูมาแจ้งเราว่า ผู้อำนวยการที่ TAFE Liverpool เรียกเราเข้าพบ เมื่อไปพบสิ่งที่เขาแจ้งเราคือ Host ที่เราเคยไปพัก แจ้งกับทางศูนย์กลางที่ติดต่อหาบ้านพักให้เด็กต่างชาตินั้นว่า เราได้ทำการค้างชำระค่าบ้านจ่ายไม่ครบให้ทางโรงเรียนระงับใบประกาศนียบัตรของเราด้วย พอเราฟังจบคือแบบ งง โมโห และรู้สึกว่านิจะตามหลอกหลอนชั้นไปถึงไหน เพราะตอนออกมาคือเคลียร์ทุกอย่างแล้วแต่เราพลาดเพราะมันไม่มีใบเสร็จรึหลักฐานที่โชว์ว่าเราได้ชำระเงินไปแล้ว
เราจึงรีบปรึกษาเอเจ้นของเรา ซึ่งพี่เขาก็อาสาที่จะมาคุยกับ hostให้ แต่สิ่งที่พี่เขาแนะนำเราคือ เรื่องที่เราโดน host ผช. ลวนลาม เราไม่ควรไปพูดหรือแจ้งให้ใครรับรู้เพราะมันทำให้เราดูไม่ดี เสียหาย (ซึ่งพอผ่านมาแล้วเรารู้สึกว่าเราโง่มากๆที่ไม่กล้าเล่าให้คุณครูที่เราสนิทหรือแจ้งทางโรงเรียนไปเลยว่าเกิดอะไรขึ้น)
ส่วนเรื่องค่าบ้านที่เป็นปัญหา พี่เอเจ้นช่วยคุยเจรจาให้แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล จบที่เราจ่ายส่วนที่พวกเขาหาว่าเรายังค้างชำระ ในการเจอ host ผญ. ครั้งนี้ เขาดูเปลี่ยนไปมาก เย็นชา เฉยๆ กับเรา สิ่งที่เขาแสดงออกมานั้น มันยิ่งทำให้เรายิ่งเสียใจว่าไม่น่าจะเคารพคนพวกนี่เลย เสียดายของขวัญต่างๆที่คุณแม่เสียเงินส่งจากเมืองไทยมาให่พวกเขาเสียใจที่สุดคือเราดันลบคลิปเสียงไปเพื่อเขาอีก สุดท้ายมันก็แค่ผลประโยชน์ มันคือธุรกิจ พวกเขาไม่ได้รักและเอ็นดูเราจริงๆ แบบที่เราคิด..
หลังจากที่เคลียร์เรื่องเงินไปแล้วนั้น host ผช มีโทรมาหาเราบ้าง แต่เราให้เพื่อนรับพร้อมทั้งบอกไปว่าเรากลับไทยถาวรเลิกใช้เบอร์นี้ไปแล้ว ซึ่งเราก็ไม่ได้ข่าวจากพวกเขาเลยนับตั้งแต่วันนั้น
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้…
- อย่างแรกเลยที่สำคัญคือ “สติ” ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องมีสติ ตั้งสติก่อน ลำดับเหตุการณ์และค่อยๆคิดหาทางแก้ไข มองหาใครสักคนที่คิดว่าเราไว้ใจได้ ขอคำชี้แนะจากเขาเหล่านั้น
- “ความกลัว” เราจะต้องเอาชนะความกลัวให้ได้ค่ะ คือมันอาจจะดูยากในสถานการณ์จริงต่างๆที่เกิดขึ้น แต่สำหรับเราแล้วเพราะความกลัวมันเลยทำให้เราไม่กล้าสู้ไม่กล้าเถียง ไม่กล้าเล่าความจริงที่เราโดนกระทำ มันคือความผิดพลาดที่เรารู้สึกแย่ลึกๆในใจจนถึงวันนี้