ข้าวโพด + ป่า กับ ซีพี (CP)
ข้าวโพด+ป่า กับซีพี
ฝุ่นละอองหมอกควันพิษจากการเผาพื้นที่และไฟป่าในฤดูแล้งช่วงนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ ยังคงตามหลอกหลอน เป็นปัญหาซ้ำซากประจำปี แม้รัฐบาลจะพยายามเตรียมการป้องกัน แก้ไขแบบบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เนิ่นๆ ดังที่ผมเคยนำมาเขียนเล่าให้ฟังในช่วงที่ผ่านมาแล้วก็ตาม
จากภาพหมอกควันไฟปกคลุมภูเขาในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งหลายๆลูกอยู่ในสภาพภูเขาหัวโล้นเพราะถูกบุกรุกทำลายป่า เผาป่าทำไร่ข้าวโพด ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งเกษตรกรไปจนถึงบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์ที่ไปส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตกเป็น “จำเลยของสังคม” ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากกิจกรรม “Cornnection : คน เขาเรา ข้าวโพด” ที่จัดโดย องค์การอ็อกแฟม ประเทศไทย ร่วมกับสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ และมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ มุ่งเน้นประเด็น “คน เขา เรา ข้าวโพด : การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน’ โดยเวทีนี้เปิดให้ตัวละครสำคัญที่เกี่ยวข้องแต่ละฝ่ายได้แสดงจุดยืน ความมุ่งมั่นตั้งใจ ที่แม้ว่าอาจจะยืนกันอยู่คนละมุม แต่จะได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเปิดอก ตรงไปตรงมา กล้าตอบคำถามยากๆ พร้อมหาทางออกและแสดงความรับผิดชอบร่วมกันตามบทบาทแต่ละฝ่าย เพื่อทำให้สามารถแก้ไขและเยียวยาเรื่องนี้ได้อย่างเป็นธรรมและยั่งยืนต่อไป
โดยงานวันนั้น เช่น สฤณีอาชวานันทกุล กรรมการผู้จัดการด้านการพัฒนาความรู้บริษัทป่าสาละ, ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) , ประยงค์ ดอกลำไย ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม และ จักรชัย โฉมทองดี ผู้ประสานงานด้านรณรงค์นโยบายองค์การอ็อกแฟมประเทศไทย
แต่ขอโฟกัสเฉพาะเจ้าสัวน้อยคนใหม่ ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) มีประเด็นที่น่าสนใจของเจ้าสัวน้อยคนนี้มาก เพราะที่ผ่านมาเครือซีพีถูกสร้างกระแสโจมตีอย่างหนักจากโลกโซเชียลมีเดีย กับปัญหาเป็นต้นเหตุการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ เป็นต้นเหตุทำลายป่าภาคเหนือ จนเกิดปัญหาหมอกควันไฟป่า กลายเป็นปัญหาวงกว้าง
ตอนนี้ ศุภชัย เจียรวนนท์ ผู้รับช่วงการบริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) จาก เจ้าสัว “ธนินท์ เจียรวนนท์” ที่สร้างชื่อเสียงมาจากการบริหารงานด้านโทรคมนาคมซึ่งถือธุรกิจใหม่ของตระกูล โดยเป็นถึง CEO บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด มาก่อนและเพิ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลงานธุรกิจการเกษตร ที่เป็นธุรกิจเก่าแก่ของตระกูล จึงเป็นที่จับตามองอยู่มาก ณ ขณะนี้
"ศุภชัย" ขอแสดงความคิดเห็น ในปัจจัยที่เกิดขึ้นของปัญหานี้ เพราะ ชาวบ้านไม่มีทางเลือกในการทำมาหากิน, ปัญหาสิทธิที่ทำกินที่ไม่ชัดเจน และปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างการเกษตร เช่น ขาดระบบชลประทาน ทำให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ กลายเป็นทางเลือกของชาวบ้าน แต่ข้าวโพดก็ถูกมองเป็นตัวการทำลายป่า การแก้ไขจึงมีความท้าทายมาก และต้องดำเนินการควบคู่กับการแก้ปัญหาปากท้องชาวบ้าน
ในส่วนเครือซีพีไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยเฉพาะปัญหาการปลูกข้าวโพดในพื้นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ ซึ่งแม้บริษัทเริ่มปักหมุดว่า พื้นที่ส่งเสริมการปลูกข้าวโพดควรมีขอบเขต ไม่ให้รุกล้ำไปยังพื้นที่ป่า แต่ยอมรับว่า ที่ผ่านมา ไม่สามารถควบคุมทั้งหมดได้
“วันนี้โจทย์ใหญ่ คือ เราจะทำอย่างไรให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้น ได้รับสิทธิ์ในที่ทำกิน พร้อมทั้งยังดูเเลผืนป่าได้ โดยเอกชนต้องเข้าไปส่งเสริมว่า มีอาชีพหรือทางเลือกอะไรบ้าง ที่สามารถปลูกในพื้นที่ พร้อมทั้งสร้างมูลค่าที่ดีกว่า”
"ศุภชัย" ย้ำว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ตั้งใจจริง พร้อมร่วมแก้ปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยสิ่งที่กำลังทำ คือ การส่งเสริมความรู้แก่ชุมชน ทำโครงการส่งเสริมพัฒนากับชุมชน ทั้งยอมรับว่า ที่ผ่านมาทำพลาดในการซื้อวัตถุดิบจากพ่อค้าคนกลาง แต่หลังจากนี้สิ่งที่บริษัทกำลังมองคือ ความยั่งยืน การผลิตที่รับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อมมากขึ้น
เช่น ประกาศไม่รับซื้อข้าวโพดจากแหล่งปลูกที่ไม่มีเอกสารสิทธิ เป็นต้น แต่ก็มีข้อยกเว้นบางกรณี เช่น หากพื้นที่ดังกล่าวกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง ก็ยืนยันว่า จะไม่ลอยแพเกษตรกร และเพื่อฟื้นฟูเรื่องนี้ ต้องร่วมมือกับทางรัฐ และ NGOs เพราะอย่าลืมว่า ความเสียหายเกิดขึ้นเเล้ว วันนี้ต้องทำอย่างไรในทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมกันแก้
“สิ่งที่ซีพีทำขณะนี้ คือช่วยแก้ปัญหาการปลูกในพื้นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ แต่ในที่สุดรัฐต้องเข้าจัดการเรื่องนโยบาย ซึ่งปัญหาของชาวบ้านที่พบคือ การขาดองค์ความรู้ การบริหาร การต่อยอดผลิตภัณฑ์ และเรื่องที่ดินทำกิน” นายศุภชัย กล่าว
ต้องถือเป็นมิติที่น่าสนใจของบริษัทยักษ์ใหญ่ธุรกิจการเกษตรอย่างซีพี ในยุคของ “ศุภชัย” นี้ ที่จะลบล้างภาพลักษณ์ที่เป็นปัญหาจนถูกโจมตีหนักมาตลอด ส่วนจะเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้จริงมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องติดตามกันต่อไปและขอเอาใจช่วยด้วยครับ
________________________________