พี่สะใภ้ยอมแต่งงานกับผมเพราะสถานการณ์บังคับ ผ่านมา 4 ปี เธอยังไม่ยอมพูดจา จนวันหนึ่งลูกชายมาพูดกับผม จึงได้เข้าใจทุกอย่าง
ตอนผมใกล้เรียนจบ ม. 6 ถึงแม้ว่าคะแนนสอบจะไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังสามารถใช้ยื่นเข้าวิทยาลัยแถวบ้านได้ แต่เนื่องด้วยพี่ชายผมขณะนั้นกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ทำให้ที่บ้านต้องกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายเป็นค่าเล่าเรียน ผมจึงตัดสินใจไปทำงานเพื่อหาเงินช่วยเหลืออีกทาง ถึงแม้ว่าพี่ชายและแม่จะไม่เห็นด้วย แต่ผมก็เก็บกระเป๋าเดินทางไปทำงานที่เขตอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งต่างเมือง
พี่ชายจึงได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยจนจบ หลังเรียนจบก็ทำงาน และแต่งงานกับพี่สะใภ้ เธอชื่อ ซิวหลิน เป็นคนบ้านเดียวกัน และเติบโตมาด้วยกัน พี่สะใภ้ไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ออกมาทำงานเหมือนกับผม อันที่จริงผมกับพี่ชายต่างแอบชอบพี่สะใภ้มาตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยความที่พี่ชายมีงานทำ และมีอนาคตกว่าผม จึงไม่แปลกที่เธอตัดสินใจเลือกพี่ชาย
วันหนึ่งพี่ชายผมประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ทำให้ผมและครอบครัวรู้สึกเสียใจมาก กับการสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไป ที่สำคัญคือพี่สะใภ้ผมต้องกลายเป็นแม่ม่าย นับจากนั้นมาพี่สะใภ้ก็ดูเซื่องซึมไป ไม่ค่อยพูดจาเหมือนก่อน เมื่อเจอหน้ากันก็ไม่ค่อยพูดคุยทักทาย แต่ทุกคนก็เข้าใจความรู้สึกเธอ
ก่อนพี่ชายเสียชีวิต พ่อของพี่สะใภ้เพิ่งก็จะเสียไปได้ไม่นาน เนื่องจากโรคหลอดเลือดในสมองแตก น้องสาวของเธอกำลังเรียนหนังสืออยู่ ทำให้เธอเองมีภาระที่ต้องดูแล ผมเองก็ไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้มากนัก ทำได้เพียงโอนเงินให้พี่สะใภ้เดือนละ 100 หยวน (ราว 500 บาท) ผมอยากให้น้องสาวพี่สะใภ้มีโอกาสได้เรียนต่อ ถึงแม้พี่สะใภ้จะห้ามไม่ให้ผมส่งเงิน แต่ผมก็ไม่สนใจ ไม่นานนักแม่ของผมก็เชียร์ให้ผมจีบพี่สะใภ้ ถึงแม้ว่าผมจะเคยชอบเธอมาก่อนก็ตาม แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้ชอบแล้ว และคิดว่าเธอก็คงจะคิดเหมือนกัน
ช่วงนั้นแม่ของพี่สะใภ้เกิดป่วยหนัก แม่ผมจึงโทรศัพท์ขอให้ผมลางาน เพื่อกลับมาช่วยกันดูแลแม่พี่สะใภ้ หลังจากที่แม่พี่สะใภ้ฟื้น ก็พูดกับผมว่า “แม่ป่วยหนัก ไม่รู้ว่าจะหายดีหรือแปล่า เป็นห่วงอย่างเดียวคือน้องสาวคนเล็ก ถ้าแม่ตายไป พวกแกสองคนก็ช่วยดูแลน้องคนเล็กด้วยนะ เอาอย่างนี้ได้ไหม แต่งงานกัน แม่จะได้จากโลกนี้ไปอย่างสบายใจ…” พี่สะใภ้ได้ยินแม่พูดเช่นนี้ ก็ร้องไห้ใหญ่และตอบตกลงทุกอย่าง วันถัดมาพี่สะใภ้ชวนผมไปจดทะเบียนสมรสให้แม่ดู และนั่นเป็นวันหนึ่งที่ผมเห็นแม่พี่สะใภ้ดูมีความสุขมาก
หลังจากที่แม่ออกจากโรงพยาบาล ผมก็กลับไปทำงานในโรงงานตามปกติ แต่แม่พี่สะใภ้โทรศัพท์มาบอกผมว่า ในเมื่อแต่งงานกันแล้วก็อย่าทำงานไกลบ้าน ผมเห็นด้วยจึงทำเรื่องลาออก และกลับมาหางานทำที่บ้านเกิด ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะน้อยกว่าแต่ก็ถือว่าผมได้ดูแลและใกล้ชิดกับครอบครัว
ถึงแม้ว่าเราสองคนจะโดนบังคับให้แต่งงานกัน แต่เธอก็ทำหน้าที่ภรรยาได้อย่างดี ทั้งงานบ้าน ทำอาหาร และยังซักผ้าให้ผม วันหนึ่งเธอตั้งท้อง ทำให้แม่ดีใจมาก แต่เธอยังคงแสดงสีหน้านิ่งเฉยเหมือนปกติ ไม่ได้แสดงอาการดีใจแต่อย่างใด
ลูกชายเราเกิดมาแข็งแรงดี ทุกคนต่างก็มาร่วมแสดงความยินดีกับเรา ผมก็ดีใจ เพียงแต่ว่าภาระความรับผิดชอบของผมมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ผมทำงานหนักทุกวันเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ส่วนเธอก็ลาออกจากงานมาเลี้ยงดูลูกเต็มตัว จนเวลาผ่านไปหนึ่งปี ลูกชายผมก็โตขึ้นจนสามารถเรียกผมว่า “พ่อ” ได้ เพราะภรรยาเป็นคนสอน ตอนที่ได้ยินครั้งแรกผมรู้สึกดีใจและมีความสุขมาก ถึงแม้ผมกับภรรยาจะไม่ค่อยคุยกันเท่าไรนัก แต่เธอก็ยังสอนให้ลูกเรียกพ่อ ทำให้ปลาบปลื้มใจ ต่อไปนี้ผมจะทำหน้าที่พ่อของลูกให้ดีที่สุด และขยันทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูภรรยากับลูก ผมไม่หวังว่าจะเป็นที่หนึ่งในหัวใจภรรยา ขอเพียงแค่มีที่ว่างให้ผม และเรามีความสุขด้วยกันเท่านั้นพอ ขอบคุณแม่ภรรยาที่ทำให้เราได้แต่งงานกัน หวังว่าครอบครัวของเราจะไม่พบกัโชคร้ายเหมือนอย่างในอดีตอีก
ความดีที่คุณทำมาจะทำให้คุณเจริญก้าวหน้า หวังว่าต่อไปนี้ครอบครัวชายหนุ่มจะพบเจอแต่ความสุขนะคะ