ป.ป.ช.เสนอผบ.ตร.เอาผิด 4 นายพลตำรวจทั้งวินัยและอาญาทุจริตซื้อรถบิ๊กไบค์สายตรวจ 19,147 คัน

รถมอเตอร์ไซค์สายตรวจของตำรวจที่ป.ป.ช.ให้ผบ.ตรงเอาผิด 4 นายพลตำรวจ

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งว่า พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ได้ลงนามในหนังสือส่งไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อขอให้พิจารณาโทษทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 คน หลังจากคณะกรรมการป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง ชี้มูลความผิดพล.ต.ท.ประชิน วารี รองจเรตำรวจ (สบ.9) กับพวกรวม 13 คนว่า ร่วมกันทุจริตในการจัดซื้อรถจักรยานยนต์สายตรวจ รุ่นไทเกอร์ พร้อมอุปกรณ์ (ทดแทน) จำนวน19,147 คัน ตามฐานความผิดทุจริตต่อหน้าที่ และกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และกระทำความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542

คณะกรรมการป.ป.ช.มีความเห็นว่า การกระทำของพล.ต.ท.ประชิน,พล.ต.ต.สมพงษ์ น้าเจริญ และพล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ มีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ของทางราชการ มติ ครม. เกี่ยวกับจรรยาบรรณของตำรวจ และนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อราชการอย่างร้ายแรง รวมทั้งฐานความผิดประมาทเลินเล่อในราชการ เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงตามพ.ร.บ.ตำรวจ พ.ศ.2547

นอกจากนี้ จากการไต่สวนยังพบว่า พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองและผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ ตามพ.ร.บ.ตำรวจ พ.ศ.2547 และมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 หรือการกระทำใดๆ โดยมุ่งมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ

ที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช. จึงขอให้ผู้บังคับบัญชาหรือมีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนได้พิจารณาลงโทษภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับเรื่องจากป.ป.ช. รวมทั้งส่งสำเนาการลงโทษกลับมาให้ป.ป.ช.ภายใน 50 วันนับตั้งแต่วันที่ออกคำสั่ง ส่วนความผิดทางอาญาให้ส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการแก่บุคคลดังกล่าว

เกษียณไปแล้วก็เอาผิดได้ไล่ออก-ปลดออก

พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติชี้มูลเรื่องดังกล่าวแล้วโดยผู้กระทำความผิดทั้งหมดอยู่ในคณะกรรมการจัดซื้อและคณะกรรมการประกวดราคา ปัจจุบันเกษียณอายุราชการไปแล้ว แต่สามารถดำเนินการทางวินัยได้ หากผิดวินัยร้ายแรงมีโทษถึงขั้นไล่ออก ปลดออก แล้วแต่รายละเอียดของแต่ละคน เป็นหน้าที่ของสตช.ที่จะพิจารณา

ขณะที่นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการป.ป.ช. กล่าวว่า การที่คณะกรรมการป.ป.ช.ได้พิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งทั้งที่ได้ชี้มูลความผิดไปแล้วเมื่อปี 2557 เนื่องจากมีผู้ถูกกล่าวหา 2-3 ราย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการป.ป.ช.เข้ามา ดังนั้นจึงไปพิจารณาอีกครั้งในประเด็นของความเสียหายที่เกิดขึ้นในคดี

แต่เมื่อไต่สวนแล้วนำกลับมาให้คณะกรรมการป.ป.ช.พิจารณาอีกครั้ง ก็ยังมีมติยืนคำชี้มูลความผิดตามมติเดิม จึงได้ส่งเรื่องไปที่สตช. เพื่อให้ดำเนินการทางวินัยและอาญา

รองผบ.ตร.บอกเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงไม่ใช่เรื่องใหม่

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติพล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) ด้านบริหารรับผิดชอบงานวินัย กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า ยังไม่เห็นเรื่อง ถ้าเรื่องส่งมา ตร.แล้ว เจ้าหน้าที่ก็กำลังประมวลตามระเบียบขั้นตอนเพื่อส่งเรื่องให้ ผู้ที่เกี่ยวข้องและพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.พิจารณาตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตนขอไปดูรายละเอียดก่อนจึงให้คำตอบได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เรื่องเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ต้องห่วง

ทางด้านพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ช. ส่งหนังสือถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวหา พล.ต.ท.ประชิน วารี รองจเรตำรวจ กับพวกรวม 13 นาย ร่วมกันทุจริตจัดซื้อรถจักรยานยนต์สายตรวจพร้อมอุปกรณ์ทดแทน 19,147 คัน

ในรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริง คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนน 9 เสียง สรุปว่า การกระทำของ พล.ต.ท.ประชิน พล.ต.ต.สมพงษ์ น้าเจริญ พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ มีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบของทางราชการ และฐานประมาทเลินเล่อในหน้าที่อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง

ส่วนการกระทำของ พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ มีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ฐานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้ตนหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มีควรได้ ส่วนอีก 9 ราย มีความผิดแตกต่างกัน

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเป็นการภายใน โดยตำรวจทั้ง 13 นาย มีทั้งยังรับราชการและเกษียณราชการไปแล้ว การดำเนินการจะแตกต่างกัน เช่น กลุ่มที่ยังรับราชการจะพิจารณาโทษ ประกอบด้วย ภาคทัณฑ์ ทัณฑกรรม กักยาม กักขัง ตัดเงินเดือน ปลดออก และไล่ออก โดยเสนอให้ ผบ.ตร.พิจารณาสั่งการ

ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเมื่อปี 2557

สำหรับกรณีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดไปแล้วเมื่อ ปี 2557 เนื่องจากมีผู้ถูกกล่าวหา 2 - 3 ราย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังนั้น จึงมีการพิจารณาอีกครั้ง แต่เมื่อไต่สวนแล้วนำกลับมาให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาอีกครั้ง ซึ่งยังคงมีมติชี้มูลความผิดตามเดิม จึงได้ส่งเรื่องไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ดำเนินการทางวินัยและอาญา กับข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 4 นาย คือ พล.ต.ท.ประชิน พล.ต.ต.สมพงษ์ น้าเจริญ พล.ต.ท.อิทธิพล พิริยะภิญโญ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร.และพล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ อดีตผบก.พลาธิการและสรรพาวุธ มีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง

พล.ต.ต.สมพงษ์ น้าเจริญเคยถูกสั่งย้ายเข้าศปก.ตร.

กอนหน้านี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีหนังสือสั่งการให้ พล.ต.ต.สมพงษ์ น้าเจริญ ผู้บังคับการกองสรรพาวุธ ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) โดยขาดจากต้นสังกัด ตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค. 2556 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง และได้ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ด.ต.สุเมธ มิสสิตะ ผู้บังคับหมู่ฝ่ายพลาธิการ 3 กองพลาธิการ พร้อมให้ออกจากราชการไว้ก่อน

คำสั่งดังกล่าวเป็นผลมาจากกรณีที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 336 จ.แม่ฮ่องสอนจับกุม ด.ต.สุเมธ และ นายจอห์นเดีย สวัสดี พร้อมตรวจยึดอาวุธสงครามและเครื่องกระสุนปืนชนิดต่างๆเป็นจำนวนมาก ได้ที่บ้านเลขที่ 85/5 หมู่ที่ 2 บ้านกุงไม้สัก ต.ปางหมู อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน และสืบสวนขยายผลทราบว่า แหล่งที่มาของอาวุธสงครามดังกล่าว เป็นของกลางที่เก็บรักษาอยู่ในความรับผิดชอบของกองสรรพาวุธ สตช.