อียิปต์พบรูปปั้นฟาโรห์ขนาดยักษ์อายุ 3 พันปีในใต้ดิน
อียิปต์พบรูปปั้นฟาโรห์ขนาดยักษ์อายุ 3 พันปีในใต้ดิน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า อียิปต์ขุดพบชิ้นส่วนรูปปั้นขนาดยักษ์ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 หรือรามเสสมหาราช กษัตริย์ผู้ปกครองอียิปต์เมื่อราว 3,000 ปีก่อน ในย่านชุมชนแออัด Matariya ในกรุงไคโร โดยรูปปั้นดังกล่าวมีน้ำหนักมากถึง 3 ตัน และทำจากหินควอร์ตไซต์
ฟาโรห์รามเสสที่ 2 เป็นกษัตริย์อียิปต์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง เป็นผู้ปกครองอียิปต์โบราณ ตั้งแต่ช่วงปี 1,279 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง1,213 ปีก่อนคริสตกาล ในสมัยของพระองค์อียิปต์ขยายอาณาจักรออกไปไกลและมีการก่อสร้างในประเทศอย่างมากมาย เช่นอะบูซิมเบล มหาวิหารของอียิปต์โบราณ ซึ่งเป็นหนึ่งในมรดกโลก โดยมัมมี่ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 นั้นถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอียิปต์
องค์ฟาโรห์รามเสสที่ 2ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งประศาสตร์อียิปต์
(รูปแกะสลักองค์รามเสสที่ 2)
หลังจากฟาโรห์โฮเรมเฮปสิ้นพระชนม์
ฟาโรห์รามเสสที่ 1 ได้ตั้งตนเป็นใหญ่และสถาปนาราชวงศ์ที่ 19 ขึ้นซึ่งเป็นราชวงศ์ที่มีชื่อเสียงอันเกรียงไกรเหนือราชวงศ์อื่นๆ ฟาโรห์องค์ที่ 2ของราชวงศ์ที่ 19 คือ ฟาโรห์เซติที่ 1โดยองค์รามเสสที่ 2 นั้นเป็นกษัตริย์ที่โด่งดังและมีชื่อเสียงมากที่สุดในตำนานไอยคุปต์และในราชวงศ์ที่ 19 ของอียิปต์
(มัมมี่ฟาโรห์รามเสสที่ 2)
องค์รามเสสที่ 2 ขึ้นครองบัลลังก์ในช่วงปีที่ 1278 - 1212 ปีก่อนคริสตกาล(ครองราชย์ยาวนานถึง 66 ปีทรงมีพระชนมายุรวม 90 พรรษา) ทรงเป็นกษัตริย์นักปกครองที่มีความปรีชาชาญ ในสมัยของพระองค์อียิปต์มีความเจริญมั่งคั่ง ทั้งนี้ ยังมีการก่อสร้างวิหารและอนุสาวรีย์มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "มหาวิหารอาบูซิมเบล"ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในวิหารดังกล่าวมีรูปแกะสลักของพระองค์และมเหสีเนเฟอร์ตารี (มเหสีเอกของพระองค์)
(ภาพมหาวิหารอาบูซิมเบล)
ว่ากันว่าทรงมีพระโอรสมากถึง 100 พระองค์และพระธิดาอีก 50 พระองค์ ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ทรงชำนาญการศึกมากทีเดียวทรงปราบชาวนูเบียจนศิโรราบและขยายอิทธิพลไปถึงภูมิภาคเอเชียซึ่งเป็นดินแดนของมหาอำนาจตะวันออกกลาง (พื้นที่ตุรกี) อย่าง"ฮิตไตท์" ชาวฮิตไตท์ทำสงครามยืดเยื้อกับชาติอียิปต์มาก่อนหน้านี้แล้ว โดยการรุกล้ำดินแดนนี้นำมาซึ่งการปะทะกับชาวฮิตไตท์ครั้งยิ่งใหญ่
ในสมรถูมิรบที่เมืองคาเดชองค์ฟาโรห์ขับรี้พลด้วยทหารราบ20,000 นาย และรถศึกอีก 2,500 คันทัพทั้งสองขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดและสูญเสียไพร่พลไปจำนวนมากโดยที่ไม่มีฝ่ายใดจะชนะกันอย่างเด็ดขาดเมื่อองค์กษัตริย์ "มุลวาตัลลิส"ซึ่งเป็นผู้นำทัพชาวฮิตไตท์สิ้นพระชนม์ลงทั้งสองฝ่ายก็ต้องทำสนธิสัญญาสันติภาพสงบศึก โดยถือเป็นสนธิสัญญาสันติภาพฉบับแรกของโลก
ทั้งนี้ ยังมีการจารึกเรื่องราวจากพระคัมภีร์"เอกซ์โซดัส" ว่า เมื่อโมเสสนำทาสชาวยิวอพยพจากอียิปต์พระองค์ได้นำทัพไล่ติดตามจนเจอปาฏิหาริย์ของพระเจ้าที่เนรมิตกองไฟไปขวางทัพอียิปต์ที่ทะเลแดง โดยทะเลได้แยกผ่าซีกออกให้ชาวยิวได้วิ่งหลบหนีไปได้ทั้งนี้ กองทัพพระองค์ก็ไล่ติดตามไปแต่ถูกคลื่นน้ำกลบกองทัพเสียสิ้น
ซึ่งในภายหลังนักประวัติศาสตร์ ระบุว่าผู้นำทัพไล่ชาวยิวหาใช่พระองค์ไม่แต่เป็นพระโอรสของพระองค์ชื่อ "อามุน เฮอเคปิเชฟ"และมีการตีความว่า ทะเลแดงที่ระบุในคัมภีร์แท้จริงแล้ว คือ ทะเลวัชพืชที่มีดงกกหรือต้นอ้อโดยไม่สามารถนำรถม้าวิ่งไปได้และ "อามุม เฮอเคปิเชฟ" ถูกสังหารที่นี่ซึ่งตามคัมภีร์ ระบุว่า ถูกสังหารด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้า