ส.ภัตตาคารเผยร้านอาหารห้ามเรียกลูกค้าดุจญาติเช่น“ป๋า”-สปท.อนุสรณ์ยอมรับผิด-นายกฯบอกเขกหัวก็ไม่สมควร

สมาคมภัตตาคารไทยเผยร้านอาหารต่างๆห้ามเรียกลูกค้าดุจญาติเช่น “ป๋า” ร้านอาหารดังใหญ่ๆ เทรนด์พนักงานอย่างดีก่อนลงเสิร์ฟลูกค้า สปท.เผยมีเวลา 60 วันพิจารณาความผิดสมาชิกใช้หลังมือตวัดถูกใบหน้าบาร์เทนเดอร์ เจ้าตัวยอมรับผิดพร้อมพบตำรวจและเจ้าของร้าน ตร.ปรับ 10,000 บาท นายกรัฐมนตรีบอกหยอกเล่นเขกหัวก็ไม่ควรทำ

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2560 นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยถึงกรณีเหตุการณ์ที่นายอนุสร จิรพงศ์ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ใช้หลังมือตวัดมาถูกบริเวณใบหน้าบริกรในร้านอาหารหลังเรียกสรรพนามตน ว่า ป๋า นั้นตามหลักแล้วผู้ประกอบการร้านอาหารและสมาคมภัตตาคารไทยเอง จะมีมาตรฐานโดยชัดเจนว่า สั่งห้ามพนักงานเรียกลูกค้าที่เข้ามาทานร้านอาหารดุจดั่งญาติ อาทิ น้อง พี่ ลุง ป้า น้า อา ยกเว้นว่าพนักงานรายนั้นรู้จัก หรือสนิทกับลูกค้าเป็นการส่วนตัว และเรียกคำดังกล่าวแทนคำอื่น เช่น“คุณลูกค้า” ได้

นอกจากนี้ พนักงานร้านอาหารจากบริษัทใหญ่ ๆ อาทิ เอ็มเคเรสเตอรองค์ แบล็กแคนยอน จะฝึกพนักงานก่อนมาทำงานในร้านอาหารจริง ในระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน โดยฝึกเรื่องมารยาทต่างๆด้านบริการเพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าด้วยอยู่แล้ว

“ที่ผ่านมา ยอมรับว่าเท่าที่รู้มา ไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่พนักงานถูกลูกค้าเรียกว่าป๋า แล้วถูกตบหน้าแต่อย่างใด แต่ที่โดน ซึ่งตัวเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เลยไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกันหรือไม่อย่างไร”นางฐนิวรรณกล่าว

ส่วนคำว่า “ป๋า” จริงๆ เป็นคำเรียกของพนักงานในส่วนที่อาจจะเป็นในร้านคาเฟ่ ร้านคาราโอเกะต่างๆ มีความเป็นไปได้ ที่จะเรียกว่าป๋า และลูกค้าก็ไม่ได้ว่าอะไร ยินยอมที่จะให้เรียก เป็นบริบทที่รู้กันดีในกลุ่มร้านอาหารลักษณะดังกล่าว

แต่สำหรับร้านอาหารทั่วไป ผู้ประกอบการจะไม่ให้พนักงานเรียกเสมือนเป็นญาติ หรือคนรู้จัก ยิ่งเป็นร้านอาหารดังๆ จะต้องถูกฝึกในการพูดจา การเสิร์ฟ มารยาทที่มีต่อลูกค้ามาอย่างดีอยู่แล้ว ส่วนที่พนักงานโดนเช่นนั้น เราไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ว่าเป็นเพราะอะไร อาจมีความเป็นไปได้ว่าไม่พอใจที่จะถูกเรียกเช่นนั้น

รายงานข่าวเปิดเผยว่าในซูเปอร์มาร์เก็ตเช่น Tesco Lotus ก็จะให้พนักงานทุกคนเรียก“คุณลูกค้า”หรือ“ลูกค้า” เมื่อลูกค้าสอบถามหรือต้องการอะไร ก็มักจะกล่าวว่า “เชิญลูกค้าทางนี้” เป็นต้น

ร้านอาหารในต่างประเทศก็ให้เกียรติลูกค้า

รายงานข่าวเปิดเผยว่าห้องอาหารในต่างประเทศอาทิเช่นในสหรัฐอเมริกาโดยทั่วไปมักจะเรียกลูกค้าผู้ชายว่า Sir หมายถึงคุณหรือท่าน,เรียกสุภาพสตรีว่า“แม้ดั้ม” Madam  หรือ Madame เมื่อพูดเร็วๆจะออกเสียงแมม (Mam)  ส่วนสุภาพสตรีที่ยังดูอายุไม่มากจะเรียก“มิส”(Miss)  พนักงานเสิร์ฟที่มีอายุมากกว่าเห็นเด็กสาวรุ่นลูกหรือหลานสาวอาจเรียกว่า Young Lady ถือเป็นคำสุภาพและให้เกียรติลูกค้า

นายกฯบอกเขกหัวก็ไม่ควรทำ

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 14 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีรัฐบาลจะมีการกำชับหน่วยงานที่ คสช.ตั้งขึ้นด้านจริยธรรมหรือไม่หลังสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ประชุมเอาผิดนายอนุสรณ์ จิรพงศ์ สปท.เหตุตบหัวพนักงานร้านอาหารว่า เมื่อวันที่ 13 มีนาคมตนเห็นในข่าวเขาบอกว่าเขาเขกอย่างเดียว ซึ่งมันก็ไม่ควร บางทีเขาหยอกไป แต่คนอื่นเขาไม่เล่นด้วยก็เกิดเป็นคดี

“เดี๋ยวทาง สปท.กำลังดำเนินการสอบสวนว่าผิดจริยธรรมอะไรหรือไม่ และมีคณะกรรมการที่ดูแลด้านจริยธรรมดูแลอยู่แล้ว”นายกรัฐมนตรีกล่าว

ปรับ 10,000 บาททำร้ายร่างกาย-ส่งเรื่องให้อัยการพิจารณา

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 14 มีนาคม ที่ห้องประชุม สน.บางซื่อ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.เศกสิทธิ์ สุภาอ้วน ผกก.สน.บางซื่อ และ พ.ต.ท.จิรภัทร แต้มทอง รอง ผกก. (สอบสวน) สน.บางซื่อ ได้เชิญนายอนุสรณ์ จิรพงศ์ อายุ 60 ปี สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และนายชาตอลงกรณ์ นิลยาน พนักงานบาร์เทนเดอร์ของร้านอาหารดังกล่าว โดยผู้เสียหายเดินทางมาพร้อมนายแสงระวี ช่วยปุ้ม ผู้จัดการร้าน

นายชาตอลงกรณ์เปิดเผยว่า ตนมีอาชีพเป็นพนักงานบาร์เทนเดอร์ของทางร้าน มีหน้าที่ผสมเครื่องดื่มให้แก่ลูกค้า ในวันเกิดเหตุได้ผสมเครื่องดื่มไปให้นายอนุสรณ์ ต่อมามีเพื่อนร่วมงานได้เดินมาบอกว่านายอนุสรณ์เรียกไปพบจึงเดินเข้าไปและได้พูดคุยกัน แต่ด้วยความตื่นเต้นจึงได้เรียกสรรพนามแทนนายอนุสรณ์ว่า “ป๋า” ก่อนหน้านี้จะใช้คำว่า “คุณ” หลังจากนั้นก็เป็นภาพที่ปรากฏในคลิป หลังเกิดเหตุตนรู้สึกกลัว น้อยใจ และไม่ได้รับความเป็นธรรมว่าตนทำอะไรผิด จึงได้เดินทางมาลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.บางซื่อ ในวันเกิดเหตุ

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตนไม่ติดใจเอาความ และเข้าใจแล้วว่านายอนุสรณ์ไม่ได้ตั้งใจ ก็ต้องขอโทษนายอนุสรณ์ด้วยหากวันนั้นตนให้คำพูดที่ไม่เหมาะสม

ทางด้านนายอนุสรณ์กล่าวว่า ตนขอโทษสังคม และนายชาตอลงกรณ์ ต่อการกระทำของตนที่เกิดขึ้น เนื่องจากตนไม่ได้ตั้งใจ เพราะเคยเจอนายชาตอลงกรณ์และคุ้นเคยกันและบอกว่าไม่ให้เรียกป๋า เพราะมันเป็นคำที่ไม่สุภาพ การกระทำที่เกิดขึ้นวันนั้นคิดว่าเป็นการหยอกล้อ ไม่คิดว่านายชาตอลงกรณ์จะรู้สึกน้อยใจและเสียใจจนเกิดเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถือว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นบทเรียน เพราะด้วยหน้าที่การงานทำให้ต้องระวังเป็นพิเศษและยังทำให้สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ทำให้ได้รับความเสื่อมเสีย

ทั้งนี้ ตนก็ได้ขอรับผิดชอบและเยียวยาผู้เสียหายที่ต้องทำให้หยุดงานและเสียรายได้อีกด้วย

พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า ในส่วนของคดีความนั้นเนื่องจากเหตุการณ์นี้เป็นความผิดอาญาแผ่นดินก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ หลักฐานทางการแพทย์ซึ่งระบุว่ามีรอยฟกช้ำ บวม ประมาณ 2 ซม. จำนวน 3 แผล บริเวณแก้มขวาใช้เวลาในการรักษา 3 วัน พนักงานสอบสวนจึงพิจารณาให้แจ้งข้อกล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ มีโทษจำคุก 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท

ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนลงความเห็นให้มีการปรับสูงสุดในวงเงิน 10,000 บาท และส่งสำนวนทั้งหมดให้พนักงานอัยการพิจารณาต่อไป

อลงกรณ์เผยอนุสรณ์ยอมรับว่าผิดจริง

ทางด้าน นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวเมื่อวันที่ 14 มีนาคมว่า สปท.ไม่ได้นิ่งนอนใจกับกรณีที่พนักงานร้านอาหารย่านซอยอารีย์แจ้งความกล่าวหานายอนุสรณ์ จิรพงศ์ สมาชิกสปท.ในข้อหาทำร้ายร่างกาย เบื้องต้นได้ตรวจสอบไปยังนายอนุสรณ์โดยตรงแล้ว ก็ยอมรับผิดทุกประการ และยินดีจะเข้าพบกับพนักงานสอบสวนและพนักงานและเจ้าของร้านดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นการแสดงเจตนาที่ดี

สำหรับขั้นตอนของสปท.นับจากนี้จะให้คณะกรรมการตรวจสอบจริยธรรมของสปท.เข้าไปดำเนินการพิจารณาว่ากรณีนี้จะมีผลต่อสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกสปท.หรือไม่โดยมีเวลาพิจารณา 60 วัน กรณีนี้เป็นความผิดเฉพาะตัวเพราะการกระทำดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของสปท.แต่อย่างใด

นายอลงกรณ์ยืนยันว่าสมาชิกสปท.ไม่ได้เอกสิทธิ์คุ้มครอง อีกทั้งในระหว่างนี้นายอนุสรณ์ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ

นายอลงกรณ์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการทำงานของสปท.ว่า ขณะนี้เข้าสู่โรดแมประยะที่ 2 โดยมีวาระปฏิรูปเร่งด่วนจำนวน 27 วาระที่ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในปี 2560 ซึ่งสปท.จึงต้องจัดลำดับการทำงานใหม่เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลในเรื่องการปฏิรูปประเทศ โดยเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายในการดำเนินการ แต่เชื่อมั่นว่าแม้จะมีข้อจำกัดเรื่องของเวลา แต่สปท.จะดำเนินการให้แล้วเสร็จ

ส่วนการประชุมใหญ่ของสปท.จะนัดประชุมเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อให้คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆและสมาชิกสปท.ที่ต้องเข้าไปเป็นกรรมการในคณะต่างๆ ได้ทำงานอย่างเต็มที่