DSI ยุติค้นวัดพระธรรมกายเชื่อธัมมชโยหนีไปแล้วไม่อาพาธ-สำนักพุทธฯส่งข้อกล่าวหาให้มส.จัดการสละสมณเพศ
พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ( ซ้าย)แถลงเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2560 ที่ศปก.ส่วนหน้า สภ.คลองหลวงถึงผลการค้นวัดพระธรรมกาย
เมื่อ เวลา 17.00 น.วันที่ 10 มีนาคม ที่ ศปก.ส่วนหน้า สภ.คลองหลวง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการร่วมตรวจค้นวัดพระธรรมกาย อาทิ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทหาร และสำนักงานพระพุทธศาสนา ร่วมกันแถลงข่าวผลปฎิบัติการ พร้อมกับเปิดวีดีโอชี้แจงการเริ่มต้นของคดีเริ่มจากการทุจริตสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ก่อนนำไปสู่การออกหมายจับพระธัมมชโย ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน รับของโจร และคดีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน
แต่พระธัมมชโย ไม่เข้ามอบตัว เจ้าหน้าที่จึงพยายามเข้าตรวจค้นเพื่อติดตามจับกุม 2 ครั้ง ตามหมายศาล แต่ถูกขัดขวางจากกลุ่มพระสงฆ์และลูกศิษย์ วัดพระธรรมกาย
พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวว่า การเข้าตรวจค้นครั้งนี้จึงต้องใช้อำนาจตามมาตรา 44 ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ และเข้าตรวจค้นในโซนต่างๆแล้ว แต่การข่าวมีข้อมูลว่าพระธัมมชโย ยังอยู่ภายในวัด จึงจำเป็นต้องเข้าตรวจค้นอีกครั้งในวันนี้ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากพระเทพรัตนสุธี เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจพื้นที่ต้องสงสัยในโซน A โซน B และอาคารบุญรักษา แต่ไม่พบพระธัมมชโย ผู้ต้องหาซึ่งหลบหนีหมายจับ แต่คดียังมีอายุความถึง 15 ปี
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนดีเอสไอ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้จัดชุดติดตาม รวมถึงประสานสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตรวจสอบ เบื้องต้นการข่าวไม่พบเดินทางออกนอกประเทศตามช่องทางปกติ
“การยุติการเข้าตรวจค้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่คลายข้อสงสัยในเรื่องการที่พระธัมมชโยอาพาธ ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ซึ่งจากการเข้าตรวจ ก็คลายข้อสงสัยและสรุปได้ว่าพระธัมมชโยไม่ได้อาพาธและสามารถเคลื่อนย้ายหลบหนีได้ ขอวิงวอนให้พระธัมมชโยเข้ามอบตัวเพื่อเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย เนื่องจากคดีฟอกเงิน มีผู้เสียหายกว่า 5 หมื่นคน มูลค่าความเสียหายกว่าหมื่นล้านบาท ขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับทางวัด การทำงานที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ไม่ใช้อาวุธ เพื่อป้องกันการสูญเสีย” พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าว
ตกลงกับทางวัดยุติการชุมนุม-เสนอยกเลิก ม.44
อธิบดีกรมดีเอสไอกล่าวว่า จากการเจรจาร่วมกับเจ้าหน้าที่วัดได้ข้อตกลงร่วมกันว่าจะเริ่มรื้อถอนสิ่งกีดขวางทั้งหมด และการรวมกลุ่มชุมนุม เริ่มจากตลาดกลางคลองหลวง หน้าประตู 5 และ 6 รวมไปถึงประตูอื่นๆด้วย เพื่อให้วัดเข้าสู่สภาพปกติโดยเร็ว ในวันพรุ่งนี้ (11 มี.ค.2560) จะไม่เห็นภาพศิษย์นั่งสวดมนต์กีดกันเจ้าหน้าที่ตามประตูต่างๆ
พร้อมกันนี้จะอนุญาตให้พระสงฆ์ แม้ไม่ใช่พระในวัดพระธรรมกาย รวมถึงลูกศิษย์ เข้าไปด้านในวัดได้ตามปกติ โดยยุติการเข้าตรวจค้นวัด แต่เจ้าหน้าที่ยังคงตรึงกำลังทุกจุดเหมือนเดิม โดยลดจำนวนลงจากปกติ เพื่อป้องกันมือที่สามที่อาจมาก่อเหตุในช่วงนี้
สำหรับผู้ที่จะดูแลพื้นที่ประกอบด้วยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.), พระเทพรัตนสุธี เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี เข้ามาดูแลวัดพระธรรมกายต่อไป ซึ่งวัดก็ไม่ได้คัดค้าน เพื่อรักษาความเรียบร้อย
“หากสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่มีการชักชวนมาชุมนุม หรือต่อต้าน จะเสนอเรื่องขอยกเลิกการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเพื่อส่งเรื่องต่อไปยัง คสช. แต่ยังไม่ยกเลิกตัดสัญญาณโทรศัพท์ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย” พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าว
อธิบดีกรมดีเอสไอเปิดเผยว่าการตรวจค้นตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีคดีอาญาเกิดขึ้น 43 คดี มีบุคคลถูกออกหมายเรียก 316 คน และเรียกรายงานตัว 80 คน
ทางด้านพระเทพรัตนสุธี เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า คณะสงฆ์ให้ความร่วมมือกับดีเอสไอในการปฎิบัติหน้าที่ และนับเป็นครั้งแรกที่มีพระวินยาธิการ หรือ ตำรวจพระ มาช่วยเจ้าหน้าที่ในการตรวจค้น และได้รับรายงานว่า ไม่พบบุคคลตามเป้าหมาย “พระสงฆ์ไม่ได้อยู่เหนือกฎหมายอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และต้องปฎิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด”พระเทพรัตนสุธีกล่าว
การแถลงในช่วงเย็นถึงการค้นไม่พบพระธัมมชโยจากนั้นก็จะยุติเพื่อปรับสภาพให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และถึงเวลาก็จะเสนอให้ยกเลิก ม.44 ควบคุมวัดพระธรรมกายและบริเวณรอบๆ
การตรวจค้นภาคเช้าของหลายฝ่าย
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเช้าบริเวณหน้าประตู 7 วัดพระธรรมกาย ปทุมธานี พระเทพรัตนสุทธี เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี ดีเอสไอ,พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีดีเอสไอ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) นำกำลังเข้าตรวจค้นอาคารด้านในวัดพระธรรมกาย บริเวณโซน A , B และอาคารบุญรักษา
โดยเจ้าหน้าที่พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกฎหมายและความจำเป็นในการนำผู้ต้องหาตามหมายจับ คือพระธัมมชโย มาดำเนินคดี และทางวัดยินยอมให้ตรวจค้นได้ ถือเป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปภายในตัวอาคารบุญรักษาได้ หลังถูกลูกศิษย์วัดพระธรรมกายขัดขวาง
การตรวจค้นไม่พบอะไรผิดปกติ
การตรวจค้นจุดแรก อธิบดีดีเอสไอ เข้าตรวจค้นอาคาร 100 ปี คุณยายอาจารย์ ขณะที่ พ.ต.ต.สุริยา เข้าค้นในพื้นที่สังฆาวาส ที่พักสงฆ์ เริ่มที่อาคารปุโรหิตา ซึ่งเป็นอาคารอเนกประสงค์ ไม่พบสิ่งผิดปกติ จุดที่สอง คือ อาคารมหาพรหม เป็นอาคารที่ใช้ในการเรียนการสอนพระไตรปิฎกนานาชาติ ห้องสมุดนานาชาติ และจุดที่ 3 คือโรงปั้นพระเดิม ปัจจุบันไม่ได้ใช้งาน จุดที่ 4 มหาวิหารคุณยายอาจารย์ เป็นห้องนั่งสมาธิ และเป็นจุดหนึ่งที่เจ้าหน้าที่สงสัยว่าจะมีห้องลับโดยพระมหานพพร นำตรวจค้น ยืนยันเป็นห้องระบบอากาศ และห้องเก็บของ ที่มีทางเชื่อมเหมือนอาคารภาวนา 60 ปี
จากนั้น พ.ต.ต.สุริยา ได้ขอเข้าตรวจอาคารพุทธศิลป์ ซึ่งพบมีเต็นท์และการจัดระบบความปลอดภัย ต่างจากการตรวจค้นในครั้งแรกจากการตรวจค้นไม่พบสิ่งผิดปกติ
ต่อมา เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น อาคารลูกโลก อาคาร 100 ปี คุณยายอาจารย์ มี 15 ชั้นจากการตรวจค้นในช่วงเช้ายังไม่พบพระธัมมชโยหรือสิ่งผิดปกติใดๆ สำหรับภารกิจการเข้าตรวจค้นในช่วงเช้านี้ถือว่าเสร็จสิ้น และต่อมาเวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจค้นโซน B เป็นอาคาร 100 ปี และโซน D เป็นที่ตั้งของอาคารบุญรักษา
พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมดีเอสไอแถลงในช่วงเช้าวันที่ 10 มีนาคมก่อนคณะฯจะเข้าตรวจค้นที่วัดพระธรรมกายโซนต่างๆ
ประชุมมหาเถรสมาคม
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม คณะกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.)ได้ประชุมหารือวาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยสงฆ์กับพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลในข้อหาสมคบกันฟอกเงิน,ร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงเป็นประธานการประชุม
ให้เจ้าคณะใหญ่หนกลางดำเนินการ
ต่อมาเวลาประมาณ 15.30 น. พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพศ. แถลงว่า ที่ประชุม มส. รับทราบเรื่องของพระธัมมชโยแล้ว พร้อมส่งให้เจ้าคณะใหญ่หนกลาง(สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดพิชัยญาติ) รับเรื่องไปดำเนินการในขั้นตอนต่อไป โดยเรื่องดังกล่าวคล้ายการดำเนินการทางวินัยของข้าราชการ เมื่อมีพระสงฆ์ถูกกล่าวหาก็ต้องส่งเรื่องให้พระผู้ใหญ่ในฐานะเจ้าคณะปกครองดำเนินการ พร้อมกับยืนยันว่าที่มีข่าวว่าจะมีการสึกพระธัมมชโยในวันนี้นั้นไม่เป็นความจริง
“พศ.ได้รวบรวมข้อร้องเรียนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และหน่วยงานต่างๆที่เข้าร้องเรียนผ่าน พศ. ส่งมอบให้ มส.ไปแล้ว และจะส่งเพิ่มเติมต่อไป โดย พศ. ได้เสนอให้เจ้าคณะใหญ่หนกลาง พิจารณาใช้กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538) ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ ข้อ 3. เข้ามาดำเนินการกับพระธัมมชโย แล้ว ส่วนการพิจารณาจะเป็นอย่างไรเป็นอำนาจของทางพระ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการ”พ.ต.ท.พงศ์พรกล่าว
กฎของมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 21 ข้อ 3(1)-ขั้นตอนดำเนินการ
สำหรับกฎของมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 21 ข้อ 3(1) กรณีพระภิกษุประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ มีลำดับขั้นตอนคือ เจ้าอาวาสมีหน้าที่แนะนำ ชี้แจง ตักเตือนเป็นหนังสือเพื่อกำหนดเวลาให้ปฏิบัติตามที่มีหนังสือตักเตือน หากฝ่าฝืนให้เจ้าอาวาสรายงานเป็นลำดับชั้นไปถึงเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เพื่อวินิจฉัยให้สละสมณเพศ จากนั้นให้เจ้าอาวาสที่ภิกษุรูปนั้นสังกัดอยู่แจ้งผลคำวินิจฉัย
ขั้นตอนหลังจากการแจ้งผลคำวินิจฉัย มีแนวทางปฏิบัติ 2 แนวทางก็คือ ให้เจ้าอาวาสที่ภิกษุรูปนั้นสังกัดอยู่ดำเนินการให้พระภิกษุสละสมณเพศภายใน 3 วัน กรณีที่ไม่สละสมณเพศภายใน 3 วัน นับตั้งแต่วันที่รับทราบผลคำวินิจฉัย ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำวินิจฉัย
แนวทางที่สอง กรณีที่ไม่พบพระภิกษุหรือพระภิกษุไม่ยอมรับ ให้ปิดประกาศคำวินิจฉัย ณ ที่พำนักอาศัย ซึ่งถือว่าทราบคำวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว ต้องสละสมณเพศภายใน 3 วันนับตั้งแต่วันที่ถือว่าทราบคำวินิจฉัย หากไม่สละสมณเพศภายใน 3 วัน ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำวินิจฉัย โดยในกรณีนี้แม้จะไม่พบตัวพระธัมมชโยก็สามารถพิจารณาลับหลังได้ และหากมีการให้ถอดสมณเพศก็จะมีผลได้ทันที