ศาลฎีกาพิพากษาแก้รอการลงโทษ“สนธิ ลิ้มทองกุล” 2 ปีคดีหมิ่น “อ้วน ภูมิธรรม”-ปรับ 2 แสนบาท
ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำตัดสิน คดี นายสนธิ ลิ้มทองกุล หมิ่นประมาท นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย โดยเพิ่มโทษจำคุกจาก 6 เดือน เป็น 1 ปี แต่ให้รอลงอาญามีกำหนด 2 ปี ปรับเพิ่ม 2 แสนบาท
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 ที่ห้องพิจารณา 808 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาฎีกาหมายเลขดำ อ.628/2549 ที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีต รมช.คมนาคม และอดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง บริษัทไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด ผู้ผลิตรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ , นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชายนายสนธิ ลิ้มทองกลุ กรรมการ บจก.ไทยเดย์ , นายพชร สมุทวณิช กรรมการ บจก.ไทยเดย์ , นายขุนทอง ลอเสรีวานิช อดีตบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน , นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย , บริษัทแมเนเจอร์ มีเดียร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และเว็บไซต์ผู้จัดการ , นายสุวัฒน์ ทองธนากุล กรรมการ บมจ.แมเนเจอร์ , นายมรุชัช รัตนปรารมย์ กรรมการ บมจ.แมเนเจอร์ ,นายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ กรรมการ บมจ.แมเนเจอร์ , นายวิรัตน์ แสงทองคำ ผู้ดูแลเว็บไซต์ เป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328
กรณีเมื่อที่ 25 พ.ย.48 เวลากลางคืน นายสนธิ จำเลยที่ 5 และ น.ส. สโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมกันจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 10 ที่วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี มีเนื้อหาทำนองว่า โจทก์เป็นอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่เคารพสถาบันกษัตริย์ และระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีการเผยแพร่ รวมทั้งตีพิมพ์ใน นสพ.ผู้จัดการรายวันฉบับเสาร์ - อาทิตย์ ระหว่างวันที่ 26-28 พ.ย.48 และเว็บไซต์ผู้จัดการด้วย
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2550 ให้จำคุกนายสนธิ จำเลยที่ 5 เป็นเวลา 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วยการเผยแพร่วีซีดีและดีวีดีรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ พิพากษาให้ปรับเงิน 200,000 บาท และให้ทำลายวีซีดี-ดีวีดีรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งที่ 10 และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันฉบับวันที่ 26-27 และ 28 พ.ย. 2548 รวมทั้งให้โฆษณาคำพิพากษาลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันเป็นเวลา 3 วัน โดยให้จำเลยที่ 1 และ 5 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด สำหรับจำเลยอื่นให้ยกฟ้อง
ต่อมานายภูมิธรรม โจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2-4 และ 6-10 ด้วย ส่วนบริษัท ไทยเดย์ จำเลยที่ 1 และนายสนธิ จำเลยที่ 5 ยื่นอุทธรณ์ว่าการจัดรายการของจำเลยที่ 5 ไม่มีเจตนาใส่ร้ายโจทก์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า แม้การจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 10 ที่วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ของจำเลยที่ 5 กับ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ ผู้ดำเนินรายการ เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2548 จะเป็นข้อความลักษณะการตั้งคำถามของจำเลยที่ 5 ว่าโจทก์ยังคงฝักใฝ่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยใช่หรือไม่ แต่ก็ไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะข้อความหลังจากนั้นจำเลยที่ 5 กล่าวลักษณะยืนยันข้อเท็จจริงในคำถามนั้นว่าหากโจทก์จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเชื่อในระบอบประชาธิปไตย คงไม่เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ตั้งแต่แรก และยังกล่าวว่า โจทก์เห็นช่องทางว่าพรรคไทยรักไทยมีอำนาจคุมการเมืองก็เข้ามาร่วมเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของโจทก์ตั้งแต่ในวัยหนุ่มในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยโจทก์เคยได้รับมอบหมายจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้นให้เดินทางไปประเทศจีนเพื่อศึกษาการตั้งพรรคที่มีแนวคิดแบบพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อมาดูแลจัดการพรรคและโจทก์เป็นพวกเหมาอิสม์ หรือพวกนิยมลัทธิเหมา เจ๋อตง รวมทั้งจำเลยที่ 5 ยังกล่าวหาว่าโจทก์มีส่วนให้การสนับสนุนเว็บไซต์ manusaya.com ที่จัดตั้งขึ้นในประเทศสวีเดน ที่ลงข้อความโจมตีสถาบันเบื้องสูงเป็นเวลานานหลายเดือน
โดยประเด็นเกี่ยวกับเว็บไซต์ดังกล่าวโจทก์มี พ.ต.ท.ญาณพล ยั่งยืน รองผู้บังคับการศูนย์ข้อมูล ข้อสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เบิกความยืนยันว่าจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าเว็บไซต์ manusaya.com เริ่มจัดตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2547 โดยใช้เซิร์ฟเวอร์ผู้ให้บริการของประเทศแคนาดาซึ่งจะต้องชำระค่าบริการปีละประมาณ 200 บาท โดยมีนายอับดุลเล๊าะห์ เจ๊ะยะ ที่เดิมสัญชาติไทยก่อนเปลี่ยนไปใช้สัญชาติสวีเดนซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นเครือข่ายผู้ก่อการร้ายกลุ่มกองโจรพูโล ที่ทำเว็บไซต์พูโลดอตโออาร์จี ซึ่งกลุ่มดังกล่าวมีความประสงค์ในการแบ่งแยกดินแดน ขณะที่ในทางนำสืบของจำเลยที่ 5 ก็กล่าวถึงการกระทำของโจทก์เกี่ยวกับแนวคิดการเปลี่ยนแลงการปกครองและความจงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูง ไม่ได้กล่าวถึงแนวคิดของโจทก์ต่อการแบ่งแยกดินแดนตามวัตถุประสงค์ของเครือข่ายดังกล่าว ดังนั้น ข้อความที่จำเลยกล่าวอ้างถึงโจทก์จึงเป็นการจงใจทำให้ประชาชนที่รับชมรับฟังและอ่านข้อความจากหนังสือพิมพ์เข้าใจผิด
ส่วนที่จำเลยที่ 5 อ้างว่าโจทก์เป็นบุคคลสาธารณะและเคยกล่าวหาจำเลยที่ 5 ทำลายประชาธิปไตย และดึงสถาบันเบื้องสูงมาเกลือกกลั้วกับการเมือง จำเลยที่ 5 จึงมีสิทธิตอบโต้ด้วยการตั้งคำถามถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูงของโจทก์ ศาลเห็นว่าแม้โจทก์จะเป็นบุคคลสาธารณะและสามารถกล่าวถึงปูมหลังแต่การกล่าวถึงต้องเป็นการนำข้อเท็จจริงมาแสดงความคิดเห็น การกระทำของจำเลยที่ 5 เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงเรื่องในอดีต ที่โจทก์เคยเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ เมื่อก่อนวันที่ 6 ต.ค. 2519 แต่เมื่อเหตุการณ์สงบโจทก์ก็ได้กลับเข้ามาศึกษาเมื่อปี 2522 ซึ่งหากโจทก์ยังฝักใฝ่พรรคคอมมิวนิสต์ตามที่จำเลยที่ 5 กล่าวอ้าง โจทก์ก็คงดำเนินกิจกรรมการเมืองที่มีระบบเลือกตั้ง
ดังนั้นจึงฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 5 เป็นการติชมด้วยความสุจริตและเป็นธรรม หรือให้คำแนะนำต่อตัวโจทก์ตามที่อุทธรณ์ซึ่งจำเลยที่ 5 รู้อยู่แล้วว่าในฐานะสื่อมวลชน ย่อมทำให้ประชาชนเชื่อในข้อความดังกล่าว จำเลยที่ 5 จึงต้องมีความระมัดระวังตามสมควรเพื่อไม่ให้บุคคลที่ถูกกล่าวถึงได้รับความเสียหาย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 5 มีความผิดนั้นชอบแล้ว แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 5 ตามมาตรา 326 ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วย ทั้งที่พิพากษาโทษตามมาตรา 328 ฐานหมิ่นผู้อื่นโดยการโฆษณาด้วยสิ่งบันทึกเสียง และภาพ และสื่อสิ่งพิมพ์ไปแล้วนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่ารุนแรงเกินไป ไม่เหมาะสมกับพฤติการณ์ เพราะเมื่อลงโทษจำเลยที่ 5 ตามมาตรา 328 แล้วก็ไม่จำต้องพิจารณาโทษตามมาตรา 326 อีก จึงพิพากษาแก้โทษนายสนธิ จำเลยที่ 5 เป็นจำคุก 6 เดือน
ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ให้ลงโทษจำเลยอื่นนั้นฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนให้ปรับบริษัท ไทยเดย์ฯ จำเลยที่ 1 จำนวน 200,000 บาท และให้ยกฟ้องจำเลยอื่น ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา
ต่อมาโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยอื่นด้วย ขณะที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้พิพากษาลดโทษปรับ และจำเลยที่ 5 ฎีกาขอให้รอการลงโทษ
ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกนายสนธิ จำเลยที่ 5 เป็นเวลา 6 เดือนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่ายังไม่เหมาะสม จึงกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมกับคดี ส่วนที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 200,000 บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเหมาะสมแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสาเหตุที่จำเลยที่ 5 กระทำความผิดในคดีนี้เกิดจากการที่โจทก์ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 5 กับพวกร่วมกันหมิ่นสถาบันเบื้องสูงและใช้เป็นเครื่องมือในการต่อต้านรัฐบาล ศาลฎีกาเห็นว่ามีเหตุอันควรรอการลงโทษแก่จำเลยที่ 5 เพื่อให้โอกาสกลับตัวต่อไป และเพื่อให้หลาบจำจึงให้ลงโทษปรับด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 5 ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น ฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 5 ฟังขึ้นบางส่วน พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษ จำคุกจำเลยที่ 5 มีกำหนด 1 ปี และปรับ 200,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์