นวกิจฯ จ่อปรับเบี้ย ประกันภัยรถยนต์
ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านการ ประกันภัยรถยนต์ เพื่อให้มีผลกำไรสูงขึ้น ชดเชยการเติบโตลดเหลือ 5%
นวกิจประกันภัยเตรียมปรับอัตราเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ ลดค่าใช้จ่ายด้านเคลม ดันกำไรสูงขึ้น ชดเชยการเติบโตลดเหลือ 5%
ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทนวกิจประกันภัย เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้การแข่งขันด้าน ประกันภัยรถยนต์ สูงขึ้น โดยอัตราส่วนค่าสินไหมทดแทนต่อเบี้ย ประกันภัย รับในปี 2558 ของบริษัทอยู่ที่ 69.13% สูงกว่าอุตสาหกรรมจากปี 2557 อยู่ที่ 65.67%
ทั้งนี้ในปี 2559 นี้ บริษัทพยายามปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านการ ประกันภัยรถยนต์ เพื่อให้มีผลกำไรสูงขึ้น เช่น การปรับนโยบายด้านอัตราเบี้ย ประกันภัย ซึ่งจะพิจารณาตามความเหมาะสม และยังมีหลายโครงการที่จะทำให้ค่าใช้จ่ายการ ประกันภัย ลดลง รวมถึงการออกกรมธรรม์อิเล็คทรอนิคส์ การนำระบบเคลมออนไลน์ หรือ อี-เคลม เข้ามาช่วย
นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย ในการผลักดันออกกรมธรรม์ผ่านจดหมายอิเล็คทรอนิคส์ หรือ อี-โพลิซี ซึ่งต้องใช้เวลาในการปรับปรุงระบบ รวมถึงต้องได้รับอนุมัติจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จะช่วยลดต้นทุนในเรื่องการดำเนินงานลงได้ รวมทั้งจะมุ่งเน้นการพัฒนาระบบการทำางาน เพื่อลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน การปรับปรุงรูปแบบเว็บไซต์ของบริษัท และการพัฒนาระบบออนไลน์ สำหรับการซื้อขาย ประกันภัย
"ปีนี้เราตั้งเป้าหมายโต 5% ซึ่งเป็นการตั้งตามประมาณการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลว่าจะโต 3% หากมีการเปลี่ยน เราก็จะปรับตามจากปี 2558 มีเบี้ย ประกันภัย รับทั้งสิ้น 3,368.93 ล้านบาท โตถึง 25.43% สูงกว่าอุตสาหกรรม ประกันภัย ที่เติบโต 1.90% ซึ่งเป็นการโตจาก ประกันภัยรถยนต์ เป็นหลัก"
ประธานกรรมการ บริษัทนวกิจประกันภัย กล่าวว่า ปี 2558 มีการเติบโตสูง 25% เพราะมีช่องทางการขายเพิ่มขึ้นจำนวนมาก แต่การเติบโตที่สูง ได้ส่งผลกระทบทางบัญชี เช่น เบี้ย ประกันรถยนต์ โตถึง 25% ได้ทำการลงบัญชีค่าใช้จ่ายค่านายหน้า 100% แต่เบี้ย ประกันภัย ที่ถือเป็นรายได้ สามารถลงบัญชีได้เพียง 50% เท่านั้น ทำให้อัตราค่าใช้จ่ายในปีที่ผ่านมาสูงขึ้นกว่าความเป็นจริงมาก ในขณะที่ต่างประเทศจะลงบัญชีค่านายหน้าเพียง 50% เท่านั้น ทำให้ต้นทุนในการดำเนินงานโดยรวมสูงขึ้นมาก
สำหรับปี 2559 คิดว่าคงไม่สามารถทำกำไรได้มากเหมือนปี 2558 เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แต่การควบคุมค่าใช้จ่าย และการลงทุนอย่างระมัดระวัง จะทำให้บริษัทมีกำไรทัดเทียมในภาวะปกติ ซึ่งปี 2558 กำไรไม่ปกติ เพราะเกณฑ์ คปภ.จึงมีการขายหุ้น บริษัทฟอลคอนประกันภัย ออกไป 7% เหลือ 12% และล่าสุดนี้ทาง บริษัทฟอลคอน ได้ทำการเพิ่มทุนใหม่ ทางบริษัทได้สอบถามไปยัง คปภ.แล้วว่า จะสามารถซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้หรือไม่ ซึ่งยังไม่ได้คำตอบ หากไม่ให้ซื้อเพิ่ม จะทำให้สัดส่วนหุ้นที่บริษัทถืออยู่ใน บริษัทฟอลคอน ลดลงโดยอัตโนมัติเหลือเพียง 7%