หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

TOP 10 ความผิดพลาดทางการแพทย์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

โพสท์โดย ประมาณนั้นแหละ
 
 
  
                                
 
 
 
1. การผ่ากลีบ (lobotomy) ทำคนไข้กลายสภาพเป็นซอมบี้
 
         ใช้รักษาจนถึงปี 1983 : ไม่เคยมีวิธีการรักษาใดที่สร้างความเสียหายแล้วจะได้รับการยอมรับมากเท่ากับ วิธีรักษาของเอกาส โมนิช ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1949 สำหรับการค้นพบวิธีรักษาคนไข้ด้วยการผ่ากลีบ
 
          ในสมัยนั้นแพทย์ยังคงเชื่อว่าการผ่ากลีบจะช่วยรักษาคนไข้ที่ป่วยทางจิตได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนไข้กลับได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส
 
          ในปี 1935 โมนิช แพทย์ชาวโปรตุเกสค้นพบว่า เขาสามารถทำให้ผู้ป่วยจิตเวชสงบนิ่งและมีปฏิกิริยาตอบสนองได้มากกว่าเดิม ด้วยการตัดเส้นประสาทที่เชื่อมต่อไปยังสมองกลีบหน้า แพทย์ในสมัยนั้นเชื่อว่าวิธีรักษาดังกล่าวจะแยกสมองส่วนที่ควบคุมเหตุผลและ ส่วนที่ควบคุมอารมณ์ออกจากกัน วิธีการรักษาของโมนิชถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีแพทย์บางรายนำวิธีรักษานี้ไปปรับใหม่ จนสามารถรักษาให้เสร็จภายในเวลาเพียง 6 นาที โดยแพทย์จะเสียบเหล็กปลายแหลมเข้าไปในกระดูกเหนือเบ้าตาผ่านไปยังสมองกลีบ หน้า แล้วขยับเครื่องมือขึ้นลงไปมาเพื่อตัดการเชื่อมต่อของเส้นประสาท
 
        มีคนไข้ได้รับการรักษาด้วยวิธีการผ่ากลีบอย่างน้อย 50,000 ราย หลังเข้ารับการรักษา คนไข้ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอย่างคนพิการที่มีปัญหาด้านอารมณ์ เนื่องจากเส้นประสาทที่เชื่อมต่อไปยังสมองกลีบหน้าซึ่งควบคุมด้านบุคลิกของ เราถูกตัดขาด หากไม่กลายเป็นซอมบี้ในร่างไร้วิญญาณไปเสียก่อน หลายคนก็จะมีนิสัยเหมือนเด็ก หรือไม่ก็ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมไปเลย
 
                         
 
2. หลีกเลี่ยงน้ำและสบู่ : สุขอนามัยที่ไม่ดีคร่าชีวิตคนไปนับล้าน
 
          ใช้รักษาจนถึงช่วงศตวรรณที่ 18 : ความคิดนี้มาจากแพทย์ยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 16 ที่เชื่อกันว่า การอาบน้ำไม่ใช่สิ่งจำเป็นอะไร แถมยังอาจก่อให้เกิดโรคระบาดที่รุนแรงได้อีกด้วย
 
          "การอบไอน้ำและการอาบน้ำในโรงอาบน้ำเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะเมื่อผิวนุ่มขึ้น รูขุมขนจะเปิดออก ทำให้ไอน้ำที่มีเชื้อโรคสามารถซึมซาบเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็วและเสีย ชีวิตลงในทันที" อองบรวส ปาเร แพทย์ประจำราชสำนักฝรั่งเศสกล่าวไว้เมื่อปี 1568
 
          ชาวยุโรปยังคงเข้าใจผิดเรื่องการหลีกเลี่ยงน้ำและสบู่ต่อมาอีกเกือบ 300ปี หากผ้าแห้งไม่สามารถขจัดครางสิ่งสกปรกให้หลุดออกจากผิวได้ วิธีสุดท้ายที่พวกเข้าจะทำก็คือใช้น้ำลูบผิวเบาๆ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดอย่างยิ่ง
 
          โรคระบาดติดต่อมายังมนุษย์ผ่านแผลที่เกิดจากเหากัด การขาดสุขอนามัยในสมัยนั้นทำให้เหายิ่งเจริญเติบโตได้ดี ต่อมาศตวรรษที่ 18 แพทย์จึงต่างพากันเปลี่ยนความคิดหลังจากที่ต้องสูญเสียชีวิตผู้คนไปหลายล้าน คน
 
 
3. การผ่าเอาเลือดออก (blood-letting) : เสียเลือดจนตาย
 
           ใช้รักษาจนถึงช่วงศตวรรษที่ 20 : หมอสมัยนั้นเชื่อว่า สาเหตุของโรคต่างๆ นั้นเกิดจากความไม่สมดุลของเลือด สารคัดหลั่ง น้ำดีเหลือง และน้ำดีดำ การผ่าเอาเลือดออกจะช่วยลดความไม่สมดุลของของเหลวในร่างกาย แต่วิธีรักษานี้มักก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต
 
            หนึ่งในคนที่ตกเป็นเหยื่อของการรักษานี้ก็คือ จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเข้ารับการรักษาอาการเจ็บคอด้วยวิธีผ่าเอาเลือดออกเมื่อปี 1799 หน้าที่สำคัญที่สุดของเลือดก็คือการขนถ่ายออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็นไป ยังเซลล์ที่อยู่ในร่างกาย เมื่อหมอเจาะเอาเลือดออกประมาณ 3.75 ลิตร หรือร้อยละ 80 ของเลือดทั้งหมดออกจากร่างกายประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน อาการของเขาจึงทรุดหนักลงและเสียชีวิตในวันเดียวกันนั้นเอง
 
 
                    
 
4. ปรอท ทำให้สมองได้รับความเสียหายอย่างหนัก
 
             ใช้รักษาจนถึงช่วงศตวรรษที่ 20 : ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา แพทย์ฝีมือดีหลายคนเชื่อว่า ปรอทมีสรรพคุณในการรักษาโรคได้เกือบทุกนิด แม้แต่จิ๋นซีฮ่องเต้หรือจักรพรรดิ์อิ๋งเจิ้นของจีน (259-210 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ก็ยังเสวยปรอทตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ แม้ว่ามันจะทำให้พระชิวหา (ลิ้น) บวมและพระทันตมังสา (เหงือก) อักเสบก็ตาม แต่ในปัจจุบัน แพทย์ต่างรู้ดีว่า ปรอทมีฤทธิ์ทำลายระบบการทำงานของสมอง ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก ระบบย่อยมีปัญหา หายใจลำบาก อีกทั้งยังมีผลข้างเคียง เช่น อาการซึมเศร้า และวิตกกังวล
 
                
                                                    
 
5. การเจาะกะโหลก (trepanning) เจาะรูกระโหลกศีรษะ
 
             ใช้รักษาจนถึงปัจจุบันนี้ : ตั้งแต่ยุคหินมาจนถึงยุคกลาง ศัลยแพทย์พยายามรักษาโรคต่างๆ อย่างเช่นไมเกรน ด้วยวิธีการเจาะรูกะโหลกศีรษะ เพราะเชื่อว่าจะช่วยเอาวิญญาณอันชั่วร้ายออกจากศีรษะได้
 
              การรักษาด้วยวิธีนี้ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อสูง แต่จากการศึกษาซากศพที่ถูกฝังกลบพบว่ามีอัตราการรอดชีวิตสูงอย่างไม่น่า เชื่อ ปัจจุบันยังคงมีการใช้วิธีเจาะกะโหลกศีรษะเพื่อรักษาโรคเลือดออกในสมองอยู่
 
 
                                                 
 
6. เฮโรอีน : ยาแก้ไอผสมสารเสพติด
 
            ใช้รักษาจนถึงปี 1910 : ในปี 1898 ไบเออร์ บริษัทผู้ผลิตยาในประเทศเยอรมนีเริ่มจำหน่ายเฮโรอีนเพื่อใช้รักษาอาการไอและ วัณโรค โดยนักเคมีของบริษัทเชื่อว่า ยาตัวใหม่นี้จะไม่ทำให้คนไข้เสพติดยา
 
 
                                                    
 
7. ยาสูบ : บุหรี่เพื่อสุขภาพ
 
           ใช้รักษาจนถึงปี 1926 : ต้นยาสูบจากอเมริกาถูกนำเข้ามาสู่ทวีปยุโรป แพทย์รู้สึกพึงพอใจกับสรรพคุณในการรักษาโรคของสารนิโคตินเป็นอย่างมาก แต่ในปัจจุบันกลับพบว่า ยาสูบเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งที่พบบ่อยที่สุด
 
 
                                           
 
8. บำบัดคนรักเพศเดียวกัน : เกย์ถูกรักษาด้วยวิธีช็อตไฟฟ้า
 
           ใช้รักษาจนถึงปี 1992 : เกือบตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 ข้อมูลทางการแพทย์ทั้งหมดระบุว่าการรักเพศเดียวกันเป็นอาการป่วยทางจิตที่ รักษาให้หายขาดได้ แพทย์จึงหาทุกวิถีทางในการรักษากลุ่มคนรักเพศเดียวกัน ตั้งแต่การรักษาด้วยฮอร์โมนไปจนถึงการสะกดจิตและการช็อตไฟฟ้า
 
 
                                          
 
9. มอร์ฟีน ทำให้เด็กๆติดยา
 
           ใช้รักษาจนถึงช่วงทศวรรษ 1930 : "Mrs. Winslow's Soothing Syrup" เป็นชื่อยี่ห้อยาที่ใช้ป้อนแก่เด็กๆที่อยู่ไม่สุขในช่วงประมาณปี 1900 ตัวยามีมอร์ฟีนผสมอยู่ในปริมาณมาก จึงทำให้เด็กๆมีอาการติดยาและเสียชีวิตในที่สุด
 
 
                        
 
10.สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง : การถึงจุดสุดยอดช่วยรักษาโรคฮิสทีเรีย
 
           ใช้รักษาจนถึงปี 1980 : ประมาณปี 1900 ผู้หญิงหลายคนป่วยเป็นโรค **"ฮิสทีเรีย" แพทย์จึงแนะนำให้ใช้เครื่องสั่นจุดซ่อนเร้นเพื่อให้ถึงจุดสุดยอด อย่างไรก็ตามการรักษานี้เห็นผลแค่ในระยะสั้นเท่านั้น และจำเป็นจะต้องทำซ้ำทุก 2-3 สัปดาห์ **ขาดผช.ไม่ได้
 
 
                 
 
 
 
      
 

 
ข้อมูลจากหนังสือ SCIENCE ILLUSTRATED ฉบับ November No. 29/2013 
facebookSCIENCEILLUSTRATEDThailand
Instagram : science_illustrated_thailand
Youtubehttp://www.youtube.com/channel/UCom909NRzFxS6RLgawU8z_g
Website : http://www.scienceillustratedthailand.com
ที่มา: facebook : SCIENCEILLUSTRATEDThailand
Instagram : science_illustrated_thailand
Youtube : http://www.youtube.com/channel/UCom909NRzFxS6RLgawU8z_g
Website : http://www.scienceillustratedthailand.com
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
48 VOTES (4/5 จาก 12 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
หมีที่เล็กที่สุดในโลกนกอันตรายที่สุดในโลกคนไข้วัย 72 ติดเชื้อโควิดนาน 613 วัน ก่อนกลายพันธุ์ในร่างกายกว่า 50 ครั้งอิหร่านขู่ถล่มที่ตั้งนิวเคลียร์ ของอิสราเอลด้วยขีปนาวุธชาวลาวไม่ทน! หลังหนุ่มจีนโพสทิ้งเงินกีบลงในถังขยะ ทำคนลาวถึงกับไม่พอใจ?5 ราศีที่มีพญาครุฑคุ้มครองเพื่อน "ออกัส" ซัดแหลก..พระเอกดังต่างหาก ถูกข่มขู่ให้กราบเท้า!!ลูกค้าหนุ่มเศร้า หลังรีวิวชุดกีฬาที่ซื้อมา แต่ดันพลาดเห็นหนอนน้อยเขมรแสบ! นำภาพเก่าสถานท่องเที่ยวไทย ที่เต็มไปด้วยกองขยะมาเล่นไทย?
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
สาว "เจี๊ยบ" ทำเนียนเดินรวมกับ นร.ญี่ปุ่น..ทำเอาหนุ่ม "บอย" ถึงกับแยกไม่ออกชาวลาวไม่ทน! หลังหนุ่มจีนโพสทิ้งเงินกีบลงในถังขยะ ทำคนลาวถึงกับไม่พอใจ?อิหร่านขู่ถล่มที่ตั้งนิวเคลียร์ ของอิสราเอลด้วยขีปนาวุธชวนมารู้จักลาบูบู้ มาการอง เดี๋ยวจะคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง
ตั้งกระทู้ใหม่