“สมคิด”ปลื้มอันดับความสามารถแข่งขันไทยเพิ่ม - มั่นใจศกปีนี้โต3 - 3.5%
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง การจัดลำดับความสามารถด้านการแข่งขันประเทศไทยโดยธนาคารโลก (world bank) โดยไทยได้รับการจัดลำดับดีขึ้น 3 ลำดับ จากอันดับ 49 เป็นอันดับ 46 นั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี และการทำงานอย่างหนักของทุกฝ่ายซึ่งต้องขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคให้ลุล่วง
“มั่นใจว่าปีหน้าจะดีกว่าปีนี้แม้มีหลายเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไข โดยผมตั้งเป้าหมายว่าให้ไทยขยับอันดับที่ดีขึ้นกว่าปีนี้ โดยต้องการเห็นไม่ต่ำกว่าอันดับ 40 จึงสั่งให้คณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ(ก.พ.ร.) เรียกประชุมเพื่อแก้ไขจุดอ่อนที่มีอยู่ เช่นความรวดเร็วในการขอใบอนุญาตการก่อสร้างอาคาร ความรวดเร็วในเรื่องของการจดด้านทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น”
ดร.สมคิด ยังกล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่า แม้จะมีปัจจัยภายนอกจากเศรษฐกิจไม่ดี บางประเทศฟื้นช้าแต่รัฐบาลดูแลผลกระทบทั้งด้านตลาดเงินตลาดทุนอยู่บ้าง รัฐบาลจะดูแลไม่ให้เศรษฐกิจเกิดภาวะซบเซาอย่างที่หลายฝ่ายวิตกว่าการใช้จ่ายของประชาชนและการท่องเที่ยวอาจชะลอตัวลง โดยภาครัฐได้เตรียมมาตรการเข้าไปดูแลเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 3 - 3.5 %ได้แน่นอนในปีนี้ รวมทั้งได้กำชับให้ทุกหน่วยงานราชการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสสุดท้ายให้ได้มากที่สุดตามเป้าหมาย เช่นกระทรวงคมนาคมรายงานว่ากระทรวงฯสามารถเบิกจ่ายงบฯได้เป็นอันดับ 1 โดยเบิกจ่ายได้ถึง 97 – 98 % ของงบประมาณ และโครงการขนาดเล็กก็เบิกจ่ายได้รวดเร็ว
ส่วนการดูแลงบประมาณปี 2561 นั้นก็จะกำชับให้ทุกหน่วยงานจัดลำดับความสำคัญของความจำเป็นแต่ละหน่วยงานให้ดีเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพและสนองนโยบายของรัฐบาลมากที่สุด
ขณะที่ นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) กล่าวว่า การที่ธนาคารโลก (เวิล์ดแบงก์) ได้ปรับอันดับความสะดวกในการทำธุรกิจ (ดูอิง บิสซิเนส) 2017 ของประเทศไทยขึ้น 3 อันดับ จาก 49 เป็นอับดับที่ 46 จาก 190 ประเทศทั่วโลก และเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน ซึ่งมีผลคะแนนรวมทุกด้าน 72.53 คะแนน เป็นผลมาจากทุกฝ่ายทั้งรัฐบาล หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคส่วนต่าง ๆที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญและร่วมผลักดัน ลดปัญหาอุปสรรคในการประกอบธุรกิจให้น้อยลง ที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐปรับปรุงบริการตามรายงานดูอิง บิสซิเนส
ทั้งนี้ ผลรายด้านดีขึ้น 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ จากอันดับ 96 เป็นอันดับ 78 ด้านการได้รับสินเชื่อ จากอันดับ 97 มาเป็น 82 ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุน จากอันดับ 36 มาเป็นอันดับ 27 ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงจากอันดับ 57 มาเป็น 51 และด้านการแก้ไขปัญหาการล้มละลายจากอันดับ 49 มาเป็นที่ 23 ส่งผลให้การจัดอันดับประเทศที่มีความสะดวกในการประกอบธุรกิจในปีนี้ที่มีผลอันดับดีขึ้น
“ที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับดูแลในภาพรวม และมอบหมายดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับดูแลในด้านการปรับปรุงกฎหมาย ส่วนนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เป็นผู้ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน พร้อมให้สำนักงานก.พ.ร.เป็นหน่วยงานหลักในการประสานติดตามการดำเนินงานของทุกหน่วยงาน”
อย่างไรก็ตามยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงคือ เรื่องการขออนุญาตในการก่อสร้างและการเข้าไปในอาคาร ซึ่งยังใช้เวลานาน เช่นเดียวกับการขอใช้ไฟฟ้า การชำระภาษีต่าง ๆที่มีอยู่หลายประเภท โดยเฉพาะการขอคืนภาษีที่ยังคงใช้เวลานาน โดยอีก 1-2 สัปดาห์นี้จะหารือกับดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในการปรับปรุงเรื่องต่าง ๆ ให้ดีขึ้นในปีหน้า และให้เกิดผลอย่างก้าวกระโดด สามารถเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน รวมถึงให้เกิดความมั่นใจนักลงทุนได้
ที่มา : Thaiquote