น้ำท่วม กระทบไม่เยอะ คนแห่ซื้อ ประกันภัย มากขึ้น

น้ำท่วมครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อภาพรวม ส่งผลบวกด้วยซ้ำ ช่วยกระตุ้นตลาด ประกันภัย เพราะเห็นถึงความเสี่ยงที่ไม่แน่นอน

 ฤดูน้ำหลากปีนี้ ดูเหมือนจะหนักหนากว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้หลายพื้นที่ประสบปัญหา “น้ำท่วม” ซึ่งข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยล่าสุด พบว่ามีเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยน้ำท่วมจำนวน 5,427 หมู่บ้าน ทำให้หลายคนหวั่นใจจะหนักหนาสาหัสเหมือนเมื่อครั้ง “มหาอุทกภัย” ปี 2554 ที่ยังเป็น “ฝันร้าย” ของภาคธุรกิจ ประกันภัย หรือไม่

แต่เมื่อได้ฟังเสียงจากภาคธุรกิจ หลายคนออกปากยืนยันไม่น่าจะ “หนักหน่วง” อย่างที่คิด แม้ว่าปีนี้จะ “รับ ประกันภัย นาข้าว” ไว้เยอะถึง 27 ล้านไร่ ทุนเอา ประกันภัย รวมประมาณ 30,000 ล้านบาทก็ตาม

“หากนาข้าวที่ทำ ประกันภัย ไว้เสียหาย ธุรกิจ ประกันภัย จะจ่ายสินไหมทดแทนที่จะ “ออนท็อป” ต่อจากเงินชดเชยที่รัฐบาลจะจ่ายให้กับเกษตรกร ถ้าผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติเมื่อไหร่ มีรายชื่อเกษตรกรที่ได้รับความเสียหาย ทางรัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชยให้ ทางสมาคมประกันวินาศภัยจะเอารายชื่อมาดู เพื่อโอนสินไหมทดแทนเข้าบัญชีให้กับเกษตรกรเช่นเดียวกัน ซึ่งเรามีแอพพลิเคชั่น “มะลิ” ช่วยให้เกษตรกรและ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เช็คข้อมูลสถานะ ประกันภัย และสินไหมทดแทนรวดเร็ว ผ่านโทรศัพท์มือถือได้ที่ rice.tgia.org ตลอด 24 ชั่วโมง”

นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ให้ความเห็นในเรื่องนี้ พร้อมกับยืนยันว่า พื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมไม่เยอะ เป็นน้ำที่มาจากฝนที่ตกตรงตามฤดูกาลปกติ ส่วนที่เจอน้ำหลากเป็นพื้นที่เดิมๆ ที่เคยเจออยู่แล้ว คือ เป็นพื้นที่รับน้ำอย่างจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไม่ได้ปลูกข้าวมากเท่าไหร่ จึงไม่น่าจะกระทบมาก โดยนาข้าวที่ได้รับความเสียหายในตอนนี้ประมาณ 100,000 กว่าไร่ ขณะที่จำนวนนาข้าวที่ทำ ประกันภัย มีถึง 27 ล้านไร่ น้ำท่วมที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ไม่น่าเป็นภัยพิบัติที่กระทบพื้นที่จำนวนมาก

ส่วน “รถยนต์” เป็นอีกตัว ที่ช่วงมาหาอุทกภัยได้รับความเสียหายเยอะ แต่รอบนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่า “ไม่เยอะ” โดย นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ประเมินว่า ความเสียหายทั้งระบบประมาณ 50 ล้านบาท

เหตุที่เสียหายน้อย หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้อง “ขอบคุณโซเชียลเน็ตเวิร์ก” ในปัจจุบัน ทั้ง ไลน์ เฟชบุ๊ก ทำให้การสื่อสารรับรู้ข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว เกิดน้ำท่วมที่ไหนก็ลงข้อมูลแล้ว ขณะเดียวกันผู้ใช้รถเอง พอทราบข่าวสารน้ำท่วม ก็ไม่ขับรถเข้าไปในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วม

“ประเมินแล้ว น้ำท่วมครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อภาพรวม และจะส่งผลในแง่บวกด้วยซ้ำ ช่วยกระตุ้นตลาด ประกันภัย ในช่วงโค้งสุดท้าย ทำให้คนซื้อ ประกันภัย มากขึ้น เพราะเห็นถึงความเสี่ยงที่ไม่แน่นอน”

ขณะที่ค่าย ประกันภัย เบอร์หนึ่ง ประกันภัยรถยนต์ อย่าง “วิริยะประกันภัย” เอง ก็ยังยอมรับว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข่าวสารที่แชร์ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก รวมไปถึงความรู้ข้อปฏิบัติต่างๆ ที่บริษัทสื่อสารออกไปถึงลูกค้าผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็ทำให้ลูกค้ารู้วิธีหลีกเลี่ยงความเสี่ยง

“โซเชียลมีเดีย ทำให้คนรู้ข่าวเร็ว การพยากรณ์อากาศวันนี้จะตกมากน้อย และพื้นที่ไหนท่วมมาก อย่างวันนี้ฝนตก จะเห็นว่าอีกวันคนไม่ค่อยเอารถออกจากบ้าน หรือพื้นที่ไหนท่วม คนก็จะไม่ขับเข้าไป และเรายังสื่อสารถึงวิธีปฏิบัติเมื่อเกิดน้ำท่วมไปยังลูกค้าด้วย ก็ทำให้จำนวนที่เคลมเข้ามาไม่มาก ยกเว้นคันที่ขับอยู่ในพื้นที่นั้นอยู่แล้ว หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะน้ำท่วมครั้งนี้เป็นน้ำท่วมจากท่อระบายไม่ทัน ไม่ใช่ท่วมขังเหมือนปี 2554 เลยเสียหายไม่มาก หรือบางรายก็เห็นว่าสามารถดูแลเองได้ ก็เอารถเข้าคาร์แคร์ไปทำความสะอาด แล้วค่อยมาแจ้งเราก็มี”

รองผู้จัดการ ฝ่ายมาตรฐานราคาและการจัดซ่อม บมจ.วิริยะประกันภัย ให้ความเห็นโดยระบุว่า ถือเป็น ”สถานการณ์ปกติ” โดยตอนนี้มีการแจ้งเคลมเข้ามาแค่ประมาณ 50-60 คันเท่านั้น ไม่มากเท่ากับแต่ก่อน และน้อยมากเมื่อเทียบกับมหาอุทกภัยปี 2554 พร้อมยกตัวอย่างน้ำท่วมที่เมืองทองธานี เมื่อเดือนก่อน จากฝนตกหนัก มีรถแจ้งเคลมเข้ามาแค่ 37 คัน จากเดิมต้องแจ้งเข้ามาเป็น 100-200 คัน

อีกส่วนหนึ่ง มาจากตัวรถเอง ที่ปัจจุบันออกแบบมาเป็นเครื่องดีเซล ทำให้ไม่น็อคน้ำ เช่น รถกระบะจะเห็นว่าแทบไม่เสียหาย เพราะตัวรถสูงและเป็นเครื่องดีเซล รวมไปถึงพวกรถ HRV ก็เป็นเครื่องดีเซล ส่วนที่เสียจะเป็นพวกรถเก๋งซิตี้คาร์ ขณะเดียวกันรถยุโรป หรือรถนำเข้าอย่างเบนซ์ และ BMW ซึ่งเป็นรถเมืองหนาว เดิมจะเสียหายค่อนข้างเยอะ เพราะนำเข้ามาอุปกรณ์ต่างๆ ก็มาแบบเดิมๆ แต่ปัจจุบันก่อนจะออกขาย จะปรับปรุงอุปกรณ์ให้เข้ากับการใช้งานในเมืองไทยมากขึ้น ทำให้ความเสียหายไม่มากเหมือนเมื่อก่อน