หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

วิเคราะห์ต้นกำเนิดองค์ความรู้ต่างๆในรามเกียรติ์(เกียรติแห่งราม)

Share แชร์โพสท์โดย นาคเฝ้าคัมภีร์

วิเคราะห์ต้นกำเนิดองค์ความรู้ต่างๆในรามเกียรติ์(เกียรติแห่งราม)

 
นางมณโฑ เดิมเป็นนางกบ(องค์ความรู้ของลัทธิพื้นเมืองของชนเผ่าบูชากบ?ซึ่งมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมกลองมโหระทึก เพราะบนหน้ากลองมักทำรูปกบประดับตกแต่งจึงมีอีกชื่อว่า “กลองกบ”)ซึ่งอิงอาศัยฟัง ๔ (มหา?)ฤๅษี คือ พระอตันตา พระวชิระ พระวิสูตร พระมหาโรมสิงห์ สาธยายมนตร์(จดบันทึกองค์ความรู้ของเหล่า๔ฤๅษีไว้ ขอเรียกว่า“ตำราหนังกบ”ก่อนละกัน) พระฤๅษีทั้ง๔ มีนางโค ๕๐๐ ตัวเป็นอุปัฏฐากในเรื่องอาหารมือเช้า โดยพากันมาหยดน้ำนมไว้ให้ในอ่างแก้วอยู่เป็นประจำ ฤาษีทั้ง๔จะปันนมส่วนหนึ่งให้เป็นอาหารนางกบเสมอ(คณะฤๅษีทั้ง๔มีชนเผ่าบูชาโคคอยอุปัฏฐากและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จาก๔ฤๅษีเรื่อยมา ซึ่งองค์ความรู้ของชนเผ่าบูชากบเองก็ได้รับองค์ความรู้[น้ำนม]จากชนเผ่าบูชาโคมาผนวกเพิ่มเติมไว้กับตนด้วยด้วย)
 
จนกระทั่งครั้งหนึ่ง ทั้ง๔ฤๅษีพบนางนาคี ซึ่งเป็นธิดาพญากาลนาค(สมาชิก๑ในกลุ่มนาคเฝ้าคัมภีร์ผู้เฝ้ารักษาองค์ความรู้สายพุทธ?)ขึ้นมาสมจรกับงูดิน(พยายามประสานรวมองค์ความรู้สายพุทธกับลัทธิพื้นบ้านลัทธิหนึ่ง?) เหล่าฤๅษีเห็นเป็นการเสียเกียรติยศพงศ์นาค(เห็นว่าการพยายยามรวมองค์ความรู้นี้จะสูญเปล่าเพราะอีกฝ่ายนั้นมีสติปัญญาต่ำชั้นเกินกว่าจะวิเคราะห์ทำความเข้าใจองค์ความรู้ของสายพุทธได้?) จึงเอาไม้เท้าเคาะเบาๆลงที่ตรงขนดหาง(ทักท้วงยังด้วยความเกรงใจก่อน) แต่นางนาคีนั้นก็ยังไม่คลาย(ยังรั้นจะรวมองค์ความรู้) จึงเคาะซ้ำลงกลางลำตัว นางนาคีจึงได้สะดุ้งได้สติคลายตัวออกและลืมตาขึ้นเห็น๔พระมุนี รีบแทรกแผ่นดินกลับลงบาดาลในทันที(สุดท้ายจึงรู้ตัวว่าองค์ความรู้ที่ตนพยายามรวมมันเป็นเรื่องสูญเปล่า เพราะเหล่ามุนีผู้ใหญ่ทั้ง๔ที่มาร่วมเป็นพยานในการรวมองค์ความรู้นั้นเห็นว่าไม่เป็นกาควรที่จะนำองค์ความรู้อันสูงส่งมารวมเข้ากับความต่ำช้าเพราะสุดท้ายแล้วจะมีแต่โทษไม่เกิดประโยชน์ใดๆจึงล้มเลิกความคิดในการรวมองค์ความรู้นั้นและหลีกออกไปในที่สุด)
 
นางนาคีจึงกลับขึ้นมาบนดินอีกครั้งด้วยอำนาจโทสะอันแรงกล้า(กลับมาพร้อมภูมิความรู้ฝ่ายรุกชั้นสูง) แล้วลอบไปยังอาศรมและคายพิษลงในอ่างน้ำนม(ตั้งปัญหาจากองค์ความรู้ฝ่ายรุก[พิษ]สอดแทรกผ่านเข้าไปทางองค์ความรู้ของชนเผ่าบูชาโคซึ่งคอยอุปัฏฐาก๔ฤๅษีเพื่อลอบประกาศท้าทายภูมิปัญญาของเหล่าฤๅษีก่อนที่ตนจากไป เป็นการตั้งปัญหาสำคัญทิ้งไว้ให้เหล่าฤาษีแก้ไขกันเอง) นางกบเห็นเช่นนั้นก็เกรงว่าพระฤๅษีจะถึงมรณะ จึงโดดลงไปในอ่างน้ำนมและตายด้วยพิษนาคในอ่างนั้น(เหล่าฤๅษีจึงนำ “ตำราหนังกบ”ที่ตนมีมาเทียบเคียงกับตำราที่สมาชิกนาคเฝ้าคัมภีร์นั้นสอดแทรกมามากับองค์ความรู้ของชนเผ่าบูชาโคเพื่อหาข้อบกพร่องในตำราของตน เพราะไม่สู้จะมั่นในในองค์ความรู้จากตำราหนังกบที่ตนมี และผลจากการเปรียบเทียบตำราหนังกบและตำรานาคเฝ้าคัมภีร์[การปะทะระหว่างนางกบกับพิษนาค]ที่ปะปนอยู่ในองค์ความรู้ของชนเผ่าบูชาโค เหล่าฤๅษีจึงพบว่า ตำราหนังกบที่ตนมีนั้นมีจุดบกพร่องสำคัญที่ต้องปรับปรุงแก้ไขจึงยอบรับข้อผิดพลาดในตำราของตนแต่โดยดี[นางกบนอนตายในชามนม]) เหล่าฤๅษีจึงตั้งพิธีชุบชีวิตนางกบขึ้นใหม่จากกองไฟให้กลายเป็นสาวงามผิวขาวราวน้ำนม จึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า“มณโฑ”(เหล่าฤๅษีทำการรจนาองค์ความรู้จากตำราหนังกบขึ้นใหม่โดยใช้องค์ความรู้จากลัทธิบูชาไฟ[อัคคีเวสสนะ]ที่ตนมีเป็นหลักผสานกับองค์ความรู้จากชนเผ่าบูชาโคซึ่งมีองค์ความรู้สายพุทธที่นาคเฝ้าคัมภีร์นำมาสอดแทรกไว้ผสมอยู่ เกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ ซึ่งขอเรียกว่า “คัมภีร์หนังกบ”นางมณโฑจึงมีผิวขาวราวน้ำนมซึ่งหมายถึงการที่นางมีองค์ความรู้จากลัทธิบูชาโคและองค์ความรู้จากพิษนาคอยู่ในตัว)
 
* นางมณโฑจึงนับได้ว่า มีชาติกำเนิดจากองค์ความรู้ ๔ สายด้วยกัน คือ
ซากกบ(องค์ความรู้ดั้งเดิม)+นมวัว(องค์ความรู้จากชนเผ่าบูชาโค)+พิษนาค(องค์ความรู้สายพุทธ)+มหาฤๅษีกลุ่ม๔(ผู้รจนาประกอบองค์ความรู้ทั้ง๓สายเข้าด้วยกัน)
เกิดเป็นองค์ความรู้ที่เพรียบพร้อมด้วยความงดงามทั้งรูปธรรมและนามธรรม คือ นางมณโฑ
 
แต่ด้วยความที่นางมณโฑนั้นมีความงามเป็นเลิศ เหล่าฤๅษีจึงเห็นว่าหากเก็บไว้ใช้งานเองจะดูไม่งาม(เพราะนางมณโฑเป็นองค์ความรู้ต้นกำเนิดซึ่งนำไปพัฒนาต่อยอดได้หลากหลาย ไม่คู่ควรจะมาถูกเก็บซ่อนไว้ในป่าเขาเพราะจะไม่เกิดคุณประโยชน์ใดๆต่อส่วนรวมของสังคม) เหล่ามุนีจึงได้พร้อมใจกันนำนางมณโฑไปถวายพระอิศวร[พระศิวะ]ซึ่งพระอิศวรได้นำไปส่งมอบต่อให้พระอุมาเทวี(เหล่าฤๅษีนำคัมภีร์หนังกบไปส่งมอบให้ลัทธิไศวนิกายช่วยเก็บรักษา ซึ่งทางไศวนิกายได้นำไปเก็บรักษาไว้ร่วมกับพระแม่องค์ธรรมของทางไศวนิกาย คือ พระอุมา) ต่อมาเกิดเหตุการณ์ยักษ์วิรุณหกเอาสังวาลนาคฟาดตุ๊กแกที่เขาไกรลาส เขาเอียงทรุด พระอิศวรให้ทศกัณฐ์ไปยกเขาให้ตั้งตรงได้ตามเดิม[ไม่ใช่เขาพระสุเมรุ!] ทศกัณฐ์จึงอ้างเอาความชอบนี้ทูลขอพระอุมาซึ่งพระอิศวรก็ประทานให้
 
ทว่าเมื่อทศกัณฐ์จะเข้าไปจะอุ้มพระอุมาก็บันดาลร้อนไปทั้งกายจึงช้อนบาทพระนางแล้วยกองค์ขึ้นทูลเศียรไป(ทศกัณฐ์คิดจะเอาพระแม่องค์ธรรมของลัทธิไศวะนิกายพระอุมาไป ทั้งๆที่รู้ว่าเอาไปก็ปรับใช้ในสังคมตัวเองไม่ได้เพราะจะเกิดความเดือดร้อนแต่ก็ยังรั้นจะเอากลับไปลงกา) พระนารายณ์จึงแปลงเป็นยักษ์แก่ไปดักอยู่ต้นทาง ทำอุบายปลูกต้นไม้เอายอดลงดิน ทศกัณฐ์เดินไปตามทาง ถึงที่นั่นแลเห็นเข้า จึงว่ายักษ์แก่นั้นเซอะซะที่ปลูกต้นไม้เอาโคนขึ้น ยักษ์แก่จึงว่าทศกัณฐ์ต่างหากเป็นผู้เซอะซะ ทศกัณฐ์จึงซักถามด้วยความสงสัย ยักษ์แก่อธิบายว่าทศกัณฐ์เซอะเพราะไม่รู้อะไร นางที่อุ้มมานี้เป็นตัวกาลี จะพลาญโคตรวงศ์ยักษ์หมดทั้งลงกา ควรพากลับไปคืนเสีย ขอเปลี่ยนเอานางมณโฑ ทศกัณฐ์เห็นพ้องด้วย เพราะกายตนเมื่อสัมผัสพระอุมายังเกิดความร้อนปานไฟลวก จึ่งกลับไปเขาไกรลาส ทูลขอเปลี่ยนเอานางมณโฑ(ทางลัทธิไวษณพนิกายเห็นว่า หากนำพระแม่องค์ธรรมของไศวนิกายกลับไปปรับใช้ในลงกา ลงกาคงถึงกาลพินาศจึงทำอุบายแนะให้ทศกัณฐ์นำพระอุมากลับไปแล้วเปลี่ยนเป็นนางมณโฑซึ่งเป็นองค์ธรรมใหม่ยังไม่เคยใช้งานจริงมาก่อนและยังสามารถต่อยอดองค์ความรู้ใหม่ๆได้อีกสารพันแทน)
 
ทว่าระหว่างเหาะกลับลงกาผ่านทางนครขีดขินธ์ นางมณโฑก็ถูกพญาพาลีเจ้าเมืองขีดขินธ์นั้นชิงตัวไปอยู่ด้วยกัน จนนางมณโฑตั้งครรภ์ได้ ๖ เดือน ทศกัณฐ์ไปฟ้องฤๅษีอังคัตผู้เป็นอาจารย์ของพาลี พระฤๅษีอังคตจึงได้มาว่ากล่าวขอให้คืนนางมณโฑกลับไปให้ทศกัณฐ์ และพระฤๅษีได้เป็นธุระช่วยแหวะท้องเอาลูกของพาลีจากครรภ์นางมณโฑย้ายไปฝากไว้ในท้องแพะจนครบถ้วนทศมาส แล้วจึงแหวะเอาลูกของพาลีออกมาและตั้งชื่อให้ว่า องคต(คัมภีร์หนังกบเคยตกมาอยู่ในมือชาวซัยเธียนส์เผ่าบูชาพระอาทิตย์[นับถือเป็น(เทพ)บิดา]จนเกิดองค์ความรู้ใหม่ แต่ยังไม่ทันสมบูรณ์[อยู่ในท้องนางมณโฑ๖เดือน]ทางฤๅษีอังคัตขอให้นำไปคืนผู้เป็นเจ้าของตามสิทธิ์ และฤาษีอังคตได้นำองค์ความรู้ใหม่ที่ยังไม่สมบูรณ์นั้นรจนาเพิ่มเติมปรับปรุงข้อมูลเนื้อหาในท้องแพะให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเกิดเป็นตำราองคต ซึ่งการตั้งชื่อว่าองคตนี้ก็เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านฤๅษีอังคตผู้ทำการรจนาตำราจนสมบูรณ์)
 
* องคต จึงนับได้ว่า มีชาติกำเนิดจากองค์ความรู้ ๓ สาย คือ
นางมณโฑ(คัมภีร์หนังกบ)+พาลี(หัวหน้าเผ่าซัยเธียนส์เผ่าบูชาพระอาทิตย์)+ฤาษีอังคต(ผู้รจนาปรับปรุงเพิ่มเติมเนื้อหาองค์ความรู้)
เกิดเป็นองค์ความรู้ฝ่ายรุก(ชาย)อันแข็งแกร่งตั้งแต่วัยเยาว์ จากข้อมูลเมื่อครั้งที่ทศกัณฐ์ยังผูกใจเจ็บ จึงแปลงกายเป็นปูยักษ์ คอยอยู่ก้นแม่น้ำเพื่อจะฆ่าองคตขณะทำพิธีลงสรง แต่ถูกพาลีจับได้ แล้วเอามาผูกไว้ให้ลูกลากเล่นอยู่เจ็ดวันจึงปล่อยไป(เป็นอันว่าทศกัณฐ์พลาดท่าให้กับองค์ความรู้ที่มีพาลีเป็นผู้ปกป้องคุ้มกันอย่างสิ้นเชิง แถมยังถูกองค์ความรู้ใหม่นี้ลากไปลากมาถึง๗วันจึงหลุดออกมาได้) และยิ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเมื่อได้มารวมตัวกับเหล่า๑๘มงกุฏในกองทัพพระราม แต่ลำพังแค่องคตก็ไม่สามารถเอาชนะทศกัณฐ์ได้ ทำได้เพียงการตีเสมอทศกัณฐ์ในการส่งสาส์นด้วยการขนดหางม้วนเป็นบัลลังก์สูงเท่าเทียมบัลลังก์ของทศกัณฐ์(คือเป็นองค์ความรู้ที่สูงเสมอกันแต่ทำอะไรกันไม่ได้เพราะไม่อาจเอาชนะกันได้อย่างเด็ดขาด)
 
ต่อมาเมื่อนางมณโฑไปอยู่กับทศกัณฐ์แล้ว ได้ให้กำเนิด๑โอรสให้ทศกัณฐ์ ชื่อว่า รณพักตร์ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นอินทรชิต ด้วยเหตุที่เอาชนะพระอินทร์ด้วยวิธีพิเศษที่ทำให้พระอินทร์ยอมแพ้แต่โดยดี(ทศกัณฐ์นำองค์ธรรมจากคัมภีร์หนังกบมาพัฒนาเป็นองค์ความรู้ฝ่ายรุกเพื่อใช้ในการศึกสงคราม ซึ่งองค์ความรู้นี้ประกอบด้วยกักขฬะเล่ห์กลอุบายในการบังคับหักหาญให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้แต่โดยดี ซึ่งองค์ความรู้นี้มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมถึงขั้นเอาชนะ[ตามจริงน่าจะเป็นการขับไล่]รูปแบบความเจริญของสังคมจากคติพระอินทร์สร้างเมืองซึ่งพัฒนามาจากวัตรบท๗ประการ ภายหลังจึงถูกขนานนามใหม่ว่าเป็นองค์ความรู้ซึ่งเอาชนะพระอินทร์ได้)
 
* อินทรชิต มีชาติกำเนิดจากองค์ความรู้ที่ไม่แน่ชัด แต่พอจะสรุปคร่าวๆได้ ดังนี้
นางมณโฑ(คัมภีร์หนังกบ)+ทศกัณฐ์(เจ้ากรุงลงกา) และอาจมีฤๅษีโคบุตร อาจารย์ของทศกัณฐ์เป็นผู้ร่วมรจนา
เกิดเป็นองค์ความรู้เชิงรุกไว้ใช้ในการศึกสงคราม ว่าด้วยเล่ห์กลกักขฬะในการทำให้คู่ต่อสู้เป็นฝ่ายยอมแพ้ไปเอง จึงกำเนิดออกมาในรูปแบบของยักษ์ซึ่งมีความกักขฬะเป็นปกตินิสัย
 
จากนั้นนางมณโฑจึงให้กำเนิด๑ธิดาให้ทศกัณฐ์ คือ นางสีดา จากการส่งนางกากนาสูรไปชิงข้าวปั้น(องค์ความรู้)ในพิธีสาธยายมนตร์ของเหล่า(มหา?)ฤๅษีแห่งกรุงอโยธยา แต่นางสีดากำเนิดมาเป็นของร้อนแห่งกรุงลงกาเพราะนางเกิดมาก็ร้องว่า“ผลาญราพณ์”(นางสีดาเป็นลูกยักษ์แต่คลอดออกมาแล้วไม่เป็นนางยักษ์ทั้งที่พี่ชายนางก็คลอดออกมาเป็นยักษ์ เพราะนางสีดาเป็นองค์ธรรมที่งดงามเพรียบพร้อมหาที่เปรียบมิได้ ซึ่งต่างจากพี่ชายซึ่งเป็นภูมิความรู้อันกักขฬะหยาบช้ามากเล่ห์ แต่ตัวนางก็เพรียบพร้อมด้วยองค์ความรู้ที่จะกำจัดอมนุษย์ทั้งหลายในสังคมลงกา) พิเภกจึงกราบทูลว่า นางสีดาจะนำภัยพิบัติใหญ่หลวงมาสู่วงศ์ยักษ์(พิเภกเห็นว่าองค์ความรู้โปรเจ็กต์นางสีดานี้เป็นแผนพัฒนาปฏิรูปสังคมที่ไม่เหมาะกับนครลงกา ใช้ไปก็ไม่เวิร์ค หากฝืนนำมาใช้จริงระบบสังคมดั้งเดิมของลงกาอาจพินาศย่อยยับได้) ทศกัณฐ์จึงสั่งให้ใส่นางสีดาใส่ผอบลอยน้ำไปเพราะยังไม่อาจหักใจประหารธิดาในไส้ของตนนางนี้ได้(ทศกัณฐ์เอามาลอยน้ำแม้เสียดายแผนปฏิรูปสังคมรูปแบบใหม่อย่างนางสีดามากขนาดไหนก็ตามที) ทว่าพระชนกฤๅษีก็เก็บนางสีดาได้จึงนำไปฝังดินไว้ถึง ๑๖ ปี(เก็บรักษาไว้อย่างดีรอผู้มีความสามารถมารับไป) ภายหลังพระชนกฤๅษีกลับไปครองกรุงมิถิลาตามเดิม จึงได้ทำพิธีไถคราดดินหาผอบทองของนางสีดาที่พระองค์ฝังดินไว้ขึ้นมา พระชนกฤๅษีจึงรับนางเป็นธิดาและพากลับไปกรุงมิถิลาด้วยกันจนได้พบกับพระรามในพิธียกศรในหลายปีต่อมา จึงได้ยกส่งมอบนางสีดาให้กับพระรามไป(แต่เดิมนางสีดาก็ถือกำเนิดขึ้นมาได้จากส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของอโยธยาที่ถูกลงกาชิงไป ดังนั้น พระรามซึ่งเป็นโอรสกษัตริย์แห่งอโยธยาและชาวอโยธยาทั้งหลายจึงต้องมีส่วนในการรับผิดชอบในการปกป้องนางสีดา[พระแม่องค์ธรรม]ทุกประการ)
 
แต่ต่อมาภายหลังกรุงอโยธยากลับเกิดปัญหาขึ้นภายในทำให้พระรามต้องนำนางสีดาและน้องชายออกมาอยู่ป่า ทศกัณฐ์ซึ่งไม่ทราบความจริงทั้งหมดจึงแปลงเป็นดาบสเฒ่ามาลักตัวนางสีดาไป(สับเปลี่ยนองค์ธรรม)ด้วยแผนกวางทอง คือ หลอกให้พระรามตามกวางทองจำแลงของมารีศ(หลอกให้ศึกษาองค์ความรู้ที่ดูงดงามน่าสนใจยิ่งกว่า แต่เป็นองค์ความรู้ ปลอมที่ถูกฝ่ายลงกาดัดแปลงให้ดูดีเกินจริงจนน่าสนใจและติดตาม เรียกว่า“ตำรากวางทอง”ละกัน) แต่สุดท้ายเมื่อยิงกวางทองได้ มารีศก็ลวงพระลักษณ์ที่เฝ้านางสีดาไว้ออกมาอีกคนก่อนตาย(ตำรากวางทองหลอกได้กระทั่งผู้อารักขาพระแม่องค์ธรรม ณ ขณะนั้นได้หมด) สุดท้ายหลังตามมาถึง(ศึกษาไปเรื่อยๆ)จึงรู้ว่าตนถูกหลอกแต่ก็ช้าไป ทศกัณฐ์ได้ตัวนางสีดา(พระแม่องค์ธรรมของจริง)กลับไปเรียบร้อยแล้ว
 
แต่เมื่อทศกัณฐ์ได้ตัวนางสีดากลับไปลงกาตามประสงค์แล้วกลับไม่อาจแตะต้องนางสีดาได้เพราะจะรู้สึกร้อนเป็นไฟเช่นเดียวกับอาการตอนอุ้มพระอุมา(คือ ยังไงทศกัณฐ์ก็ไม่อาจนำพระแม่องค์ธรรมนี้กลับมาประยุกต์ใช้ให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ[ลูก]ได้อยู่ดี เพราะนางสีดา คือพระแม่องค์ธรรมที่นำความเดือดร้อนมาสู่อมนุษย์ทั้งหลายที่ปกครองลงกาและพันธมิตรได้หากถูกนำมาใช้จริง ทศกัณฐ์และพันธมิตรทั้งหลายจึงทำได้แค่หน้าที่หวงแหนอารักขาครอบครองนางสีดาโดยไม่อาจนำมาทำอะไรให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์แก่ตนได้แม้จะมีไว้ในครอบครอง กลายเป็นกลุ่มยักษ์เฝ้าคัมภีร์กลุ่มใหญ่ที่ไม่ยอมยกองค์ธรรมอันสำคัญล้ำค่าให้ผู้ใดแม้ว่าตนจะไม่สามารถใช้องค์ธรรมที่ตนครอบครองดูแลอยู่ให้เกิดประโยชน์ได้ก็ตาม)
 
* นางสีดา มีชาติกำเนิดจากองค์ความรู้ ๓ สาย คือ
นางมณโฑ(คัมภีร์หนังกบ)+ทศกัณฐ์(เจ้ากรุงลงกา)+ส่วนข้าวปั้น(องค์ความรู้บางส่วนในเนื้อหาคัมภีร์)จากอโยธยาที่ชิงมาได้
เกิดเป็นพระแม่องค์ธรรมอันยิ่งใหญ่จนฝ่ายยักษ์ไม่อาจนำมาใช้การได้ เพราะหากนำมาใช้จะหมายถึงหายนะครั้งใหญ่ เพียงแค่ครอบครองไว้เฉยๆโดยไม่ทำอะไรก็ยังเป็นหายนะขนาดสิ้นโคตรแล้ว หากนำมาใช้จริงๆคงได้ล้างบางชาติพันธุ์
 
อนึ่ง นอกจากนี้ ทศกัณฐ์ยังเคยรจนาสร้างองค์ความรู้ที่มีบทบาทในการสงครามด้วยตนเองอีก ๒ ชุด คือ ทศคีรีวัน-ทศคีรีธร และ นางสุพรรณมัจฉา
ตามท้องเรื่อง ระบุว่า ทศกัณฐ์นั้นเคยแปลงเป็นปลาไปอยู่กับนางปลาในทะเล จนเกิดธิดาชื่อ นางสุพรรณมัจฉา และอยู่ประจำในเขตมหาสมุทรของกรุงลงกา(ทศกัณฐ์ปลอมตัวเข้าไปแฝงตัวอยู่ในชนเผ่าชาวทะเลซึ่งบูชาปลาเป็นเป็นลัทธิพื้นเมือง เพื่อถือโอกาสนำองค์ความรู้ของเดิมของลัทธิบูชาปลามาผนวกกับองค์ความรู้ของตน จนเกิดเป็นนางสุพรรณมัจฉา องค์ความรู้ที่ถูกใช้เพื่อป้องกันการบุกรุกจากกองทัพศัตรูทางทะเล) เมื่อถึงยามศึกนางสุพรรณมัจฉาเองได้ถูกใช้เพื่อสกัดกองทัพของพระรามจากการจองถนนข้ามทะเล โดยนางสุพรรณมัจฉาใช้ฝูงปลาใหญ่และสัตว์ทะเลจำนวนมากขนหินที่ถมไว้ไปทิ้งที่อื่นเพื่อให้การจองถนนไม่มีความคืบหน้า(องค์ความรู้สุพรรณมัจฉาถูกใช้เป็นคำสั่งให้ชาวชนเผ่าบูชาปลาทั้งหลายเข้าขัดขวางการสร้างเส้นทางสู่เกาะลงกา)
ทว่า กลอุบายของนางสุพรรณมัจฉากลับถูกหนุมานมองออกและแก้ไขได้ นางสุพรรณมัจฉาจึงตั้งครรภ์บุตรชายของหนุมาน คือ มัจฉานุ นางสุพรรณมัจฉาจึงหลบทศกัณฐ์ไปคลอดบุตรที่อื่น(หนุมานแก้กลสกัดทัพในการศึกได้จึงทิ้งร่องรอยการแก้กลนั้นไว้ ซึ่งต่อมาได้ถูกพัฒนากลายเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งในเชิงรุกและรับ) และต่อมา ไมยราพ ได้รับตัวมัจฉานุไปเลี้ยงดูในฐานะผู้เฝ้ารักษาประตูสู่เมืองบาดาล(เมื่อองค์ความรู้มัจฉานุถูกพัฒนาจนสมบูรณ์ดีแล้ว จึงถูกส่งต่อให้ไมยราพนำไปใช้ในการป้องกันการบุกรุกจากศัตรูที่หน้าด่านเมืองบาดาลชั้นกลาง)
และทศกัณฐ์ยังเคยแปลงเป็นช้างไปอยู่กับนางช้างพังในป่า จนเกิดลูกชาย ชื่อ ทศคีรีวัน กับ ทศคีรีธร ซึ่งพระยายักษ์อัศกรรณแห่งเมืองดุรัม สหายของทศกัณฐ์ซึ่งไม่มีบุตร นำตัวทั้งคู่ไปเลี้ยงไว้ และหลายปีต่อมาทั้งคู่ได้กลับมาช่วยทศกัณฐ์ทำศึก(ทศกัณฐ์ปลอมตัวเข้าไปแฝงตัวอยู่ในชนเผ่าชาวป่าซึ่งบูชาช้างเป็นเป็นลัทธิพื้นเมือง เพื่อถือโอกาสนำองค์ความรู้ของเดิมของลัทธิบูชาช้างมาผนวกกับองค์ความรู้ของตน จนเกิดเป็นองค์ความรู้แฝด คือ ทศคีรีวัน-ทศคีรีธร ซึ่งต่อมาพระยายักษ์อัศกรรณซึ่งไม่มีองค์ความรู้เป็นของตัวเองได้มาขอองค์ความรู้ทั้งคู่จากทศกัณฐ์เพื่อนำไปใช้ในเมืองดุรัมของตน หลายปีต่อมา องค์ความรู้ทั้งคู่จึงได้กลับคืนสู่ทศกัณฐ์เพื่อนำไปใช้ในการศึก)
 
ประการหนึ่ง การที่ทศกัณฐ์ผนวกรวมองค์ความรู้จากชนเผ่าบูชาปลาทางทะเลจนเกิดองค์ความรู้ คือ นางสุพรรณมัจฉา และผนวกรวมองค์ความรู้จากชนเผ่าบูชาช้างจนเกิดองค์ความรู้แฝด คือ คีรีวัน และ คีรีธร อาจมีนัยยะสื่อถึง การขยายขอบเขตอิทธิพลการปกครองไปจนสุดเขตมหาสมุทร และเขตขุนเขาทั่วป่า
 
อนึ่ง ลักษณะการอุปมาให้องค์ความรู้มีชีวิต(บุคลาธิษฐาน)นั้นแสดงถึงลักษณะขององค์ความรู้ ๒ แบบ คือ
๑.องค์ความรู้เพศชาย - จุดประสงค์เพื่อการบุกเบิกและสร้างความมั่นคงแข็งแรงให้สังคม รวมไปถึงการปกป้องคุ้มครองสังคมจากภัยคุกคามภายนอก เช่น สงคราม เป็นต้น
๒.องค์ความรู้เพศหญิง - จุดประสงค์เพื่อการสร้างความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นภายในสังคม รวมไปถึงการก่อสร้างรูปแบบของขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมระเบียบแบบแผนอันดีงามและเป็นธรรมชาติทั้งหลายซึ่งสืบเนื่องมาจากความสงบเรียบร้อยของสังคมที่เกิดขึ้นแล้วนั้น
 
ดังนั้น จึงสามารถกล่าวได้ว่า สังคมลงกาสามารถอยู่ได้อย่างสงบเรียบร้อยเป็นเพราะทศกัณฐ์ได้นางมณโฑมาเป็นมเหสี หากไม่มีนางมณโฑประจำอยู่ในลงกา ลงกาคงเกิดจลาจลโกลาหลต่างๆนาๆให้วุ่นวายไปหมด และอาจลุกลามถึงขั้นแตกแยกแตกหักกลายเป็นชนเผ่ากลุ่มเล็กกลุ่มน้อยไปเลยก็เป็นได้
 
จาก https://www.facebook.com/notes/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%9D%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1/772748856187592
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
นาคเฝ้าคัมภีร์'s profile


โพสท์โดย: นาคเฝ้าคัมภีร์
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
8 VOTES (4/5 จาก 2 คน)
VOTED: เผลอหัวใจ, zerotype
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
สุสานวัดดอน. สุสานกลางกรุง!นักข่าวปาเลสไตน์โพสต์รูป ทหารอิสราเอลถือธงชาติไทยให้แล้ว!! อาจารย์หนู เลขมงคล 1 เมษายน 256712ราศีไหนดวงเปิดแล้ว เตรียมรับโชคก้อนโต!! งวดนี้ความน่ารักสดใส ของปลาคาร์ฟที่แหวกว่ายผ่านท่อระบายน้ำข้างถนนในญี่ปุ่นปรี๊ดเลย! "ครูไพบูลย์" โดนแซวว่าเล็ก..โต้กลับทันที "ผมเล็กหรือคุณโบ๋" กันแน่"ลิซ่า" จะเดบิวต์เป็นดาวติ๊กต๊อก..แต่กลับโดนแซะว่าเลียนแบบ "กามิน"ของฟรีที่ไม่อยากได้!! เมื่อซื้อข้าวตามสั่ง เเล้วเจอเส้นผมมาเป็นกระจุก อวสานอาหารมื้อนี้!🥴5 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
อุกกาบาตลูกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยถูกค้นพบบนพื้นผิวโลก"ลิซ่า" จะเดบิวต์เป็นดาวติ๊กต๊อก..แต่กลับโดนแซะว่าเลียนแบบ "กามิน"ความน่ารักสดใส ของปลาคาร์ฟที่แหวกว่ายผ่านท่อระบายน้ำข้างถนนในญี่ปุ่นของฟรีที่ไม่อยากได้!! เมื่อซื้อข้าวตามสั่ง เเล้วเจอเส้นผมมาเป็นกระจุก อวสานอาหารมื้อนี้!🥴
ตั้งกระทู้ใหม่