กำเนิด Misery
ถ้าพูดถึงหนังสือนิยายที่ประสบความสำเร็จที่สุดเรื่องหนึ่งของราชานิยายสยองขวัญอย่างสตัเฟ่น คิง แล้วล่ะก็หลายคนคงนึกถึงเรื่อง Misery เป็นแน่แท้ เพราะ นี่เป็นหนึ่งในหนังสือที่ขายดีที่สุดเรื่องหนึ่งของคิง แถมยังได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในปี 1991 อีกด้วย
.
Misery เป็นเรื่องราวของนักเขียนดวงซวยอย่าง พอล เชลดอน ที่ประสบอุบัติเหตุในเมืองที่แอนนี่อยู่พอดี ระหว่างที่เขากำลังเก็บตัวเขียนนิยายที่นี่ ทว่า แอนนี่มาพบกับเขาเข้าพอดีและคอยดูแลเอาใจใส่เขาอย่างเต็มที่ ทว่า เมื่อรู้ว่าเขาคือ นักเขียนนิยายเรื่อง Misery นิยายแนวน้ำเน่าที่เธอชอบ เธอก็ดูแลเขาราวกับเจ้าชายทันที โดยที่พอลหารู้ไม่ว่า เมื่อเขาใกล้หายแล้ว แอนนี่จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือด้วยการทำร้าย กักขังเขาเอาไว้เพื่อให้เขาเขียนนิยายเรื่องนี้ใหม่ให้ถูกใจเธอที่สุด และไม่มีวันจบสิ้น
.
นอกจากความน่ากลัวของเรื่องแล้ว การแสดงที่ยอดเยี่ยมได้ส่งให้ เจ้ แคธี่ เบทส์ ได้ออสการ์ในปีนั้นด้วยการรับบทนำเป็น แอนนี่ วิคส์ สาวโรคจิตในเรื่องจนตีบทแตกในวันนั้น
.
แอนนี่เป็นตัวเอกหญิงในเรื่องที่นี้ที่สตีเฟ่น คิงบอกว่า ผมกำลังสร้างปีศาจขึ้นมาหรือเปล่า ตัวของคิงยังสับสนเลยว่า เขาควรจะให้เธอมีความเป็นมนุษย์บ้างดีหรือไม่ แต่คำตอบก็คือ ไม่
.
“ผมคิดว่า ปล่อยให้เป็นปีศาจเป็นอย่างเดิมดีแล้วล่ะ”
.
หลายคนพากันเลิกคิ้วสงสัยว่า คิงเขียนหนังสือเรื่องนี้ออกมาได้อย่างไร ซึ่งมีข่าวลือต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะเรื่องการเสียชีวิตของจอห์น เลนนอนที่ถูกสังหารโดย มาร์คเดวิด แชปแมน ซึ่งแนวคิดคิงปฏิเสธว่าไม่ใช่
.
อีกแนวคิดก็บอกว่า คิงเอามาจากความสัมพันธ์จริง ๆ ของเขากับแฟนหนังสือ ซึ่งคิงหัวเราะแต่ก็ตอบปฏิเสธเช่นกัน
.
หลังปล่อยให้ปริศนาเคลื่อนที่ไปได้สักพัก ในที่สุดคิงก็ยอมเอ่ยปากเฉลยจุดกำเนิดแท้จริงของ Misery เสียที
.
“จุดเริ่มต้นของ misery เหรอ มาจากเรื่องสั้นเรื่อง The man who love Dickens ของ เอวิลีน วอห์ ที่ผมนึกถึงตอนที่เผลอหลับไปบนเครื่องบินระหว่างเดินทางไปนิวยอร์คกับลอนดอน เรื่องสั้นที่ว่านั้นเป็นเรื่องราวของชายหนุ่มอเมริกันที่ถูกหัวหน้ากักขังเอาไว้ และ อีตาหัวหน้าดันชอบนิยายของชาร์ล ดิกเคนส์ ซะงั้น เลยบังคับให้ให้ชายที่โดนจับมาอ่านนิยายเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ”
.
คิงกล่าวพร้อมกับตั้งคำถามว่า
.
“แล้วจะเป็นยังไงล่ะ ชาร์ล ดิกเคนส์ เป็นคนที่โดนจับมาเอง ?”
.
นี่คือ จุดกำเนิดเริ่มต้นของ Misery
.
และทำให้เรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในงานขายดีของสตีเฟ่น คิงไปในที่สุด