หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ประวัติดาราแก่แต่เก๋า ตอน 3

โพสท์โดย Donald trumps

มอร์แกน พอร์เทอร์ฟิลด์ ฟรีแมน จูเนียร์ (อังกฤษ: Morgan Porterfield Freeman, Jr.) เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1937 เป็นนักแสดง ผู้กำกับภาพยนตร์ นักพากย์

ฟรีแมนเริ่มชีวิตการแสดงตั้งแต่ทศวรรษ 1970 แต่มักได้รับบทประกอบที่ไม่สำคัญนัก เขาเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ตั้งแต่ปี 1989 โดยรับบทในภาพยนตร์เรื่อง Driving Miss Daisy คู่กับเจสซิกา แทนดีย์ และภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกา Glory คู่กับแมททิว บรอเดริก และเดนเซล วอชิงตัน และในปี 1994 จากเรื่อง The Shawshank Redemption และ Seven

ในปี 1989 ฟรีแมนได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงยอดเยี่ยมประเภทภาพยนตร์เพลงหรือคอเมดี้ ในภาพยนตร์เรื่อง Miss Daisy และในปี 2004 เขาได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยมจากบทบาท เอดดี้ ดูพริส ในภาพยนตร์เรื่อง Million Dollar Baby

ด้วยน้ำเสียงทุ้มเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ฟรีแมนมีผลงานการพากย์เสียงบรรยายในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น ภาพยนตร์สารคดีฝรั่งเศส March of the Penguins(ฉบับเสียงภาษาอังกฤษ) และ War of the Worlds ของสตีเวน สปีลเบิร์ก

 

ผลงานภาพยนตร์เมื่อเร็วๆ นี้ของฟรีแมน ได้แก่ ภาพยนตร์ของลุค เบสซง เรื่อง Unleashed, ภาพยนตร์ของโรเบิร์ต เร็ดฟอร์ด เรื่อง An Unfinished Life, Batman Begins, Lucky Number Slevin, ภาพยนตร์ตลกเรื่อง Bruce Almighty และภาคต่อ Evan Almighty, ภาพยนตร์ของเบน อัฟเฟล็ค เรื่อง Gone Baby Gone, ภาพยนตร์ของโรเบิร์ต เบนตัน เรื่อง Feast of Love, ภาพยนตร์สารคดีรางวัลออสการ์ เรื่อง March of the Penguins ซึ่งเขาเป็นผู้ให้เสียงบรรยาย และภาพยนตร์ของร็อบ ไรเนอร์ เรื่อง The Bucket List

ในบรรดาผลงานภาพยนตร์ใหม่ของฟรีแมน ได้แก่ The Dark Knight และภาพยนตร์ดราม่าแนวอาชญากรรมเรื่อง The Code ซึ่งทั้งสองเรื่องมีกำหนดเปิดตัวฉายในปี 2008



ก่อนจะกลายเป็นที่รู้จักกันโดยทั่ว ดูเหมือนว่านักแสดงอย่าง มอร์แกน ฟรีแมน จะเป็นที่เคารพนับถือในสายงานมานานแล้ว เขาจับงานแสดงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในนิวยอร์กอยู่หลายปี รวมถึงรับงานประจำในรายการเด็กที่ออกอากาศตั้งแต่เช้าตรู่ทางช่องสาธารณะพีบีเอส ชื่อ “The Electric Company” (ระหว่างปี 1971-1977) ซึ่งทำให้ใบหน้าเศร้า ๆ ตามบทที่เขาได้รับกลายเป็นที่จดจำขึ้นมา แต่ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างนัก จนกระทั่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์จากบทพ่อเล้าอารมณ์ฉุนเฉียวนามว่า ฟาสต์แบล็ก ใน“Street Smart” (ปี 1987) จากบทบาทการแสดงในครั้งนั้น ฟรีแมนพุ่งทะยานสู่ชื่อเสียงระดับประเทศเป็นที่รู้จักในทันที และกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของฮอลลีวู้ด สองปีต่อมา เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์อีกครั้งจากบทบาทการแสดงเป็น โฮค โคลเบิร์น ใน “Driving Miss Daisy” (ปี 1989) อันเป็นบทที่เคยรับมาก่อนในช่วงที่เขาแสดงละครบรอดเวย์ จนเมื่อได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่สามจาก “The Shawshank Redemption” (ปี 1994) จึงยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับชื่อเสียงของเขาในฐานะนักแสดงคุณภาพทั้ง ๆ ที่แต่เดิมก็เป็นที่นิยมชมชอบอยู่แล้ว และถึงแม้จะใช้เวลาเป็นทศวรรษกว่าที่จะคว้าออสการ์มาครองได้จากการแสดงในภาพยนตร์ของผู้กำกับฯ คลินต์ อีสต์วูด เรื่อง “Million Dollar Baby” (ปี 2004) แต่จากนั้น มอร์แกน ฟรีแมน ก็ลงหลักปักฐานมั่นคงในฐานะสุดยอดนักแสดงที่น่าเคารพยกย่องที่สุดคนหนึ่งเมื่อเทียบกับนักแสดงร่วมรุ่นคนอื่น ๆ



มอร์แกน ฟรีแมน ย้ายถิ่นฐานตามครอบครัวไปเรื่อย ๆ ไปจนถึงเมืองชาร์ลสตัน ในรัฐมิสซิสซิปปี และชิคาโก ในรัฐอิลินอย ก่อนจะตั้งมั่นที่เมืองกรีนวู้ด ในรัฐมิสซิสซิปปี ตลอดช่วงหลาย ๆ ปีนั้น เขาได้ดูภาพยนตร์นับเรื่องไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพยนตร์ประเภทที่มีม้ากับคนถือปืนอยู่บนหลังมัน ซึ่งดลใจให้ฟรีแมนอยากเป็นนักแสดงกับเขาบ้าง ที่สำคัญ ครูอาจารย์ที่โรงเรียนมัธยมกรีนวู้ดซึ่งเขาเรียนจบออกมาตั้งแต่ 1995 ยังคอยเป็นกำลังใจส่งเสริมให้เขามุ่งไปทางการแสดง แต่เขาขอว่าต้องหลังจากที่ได้ลองทำฝันการเป็นนักบินรบของกองทัพอากาศให้เป็นจริงเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางทศวรรษที่ 50 ทางกองทัพยังไม่อนุญาตให้คนดำขึ้นบิน เขาจึงเป็นได้แค่นายช่างคุมเรดาร์เท่านั้น เรียกว่าปัญหาการแบ่งแยกสีผิวบั่นทอนกำลังใจในการตามความฝันไปหมดสิ้น จนเมื่อฟรีแมนตระหนักได้ว่าการขับเครื่องบินรบต้องนำเขาไปสู่การฆ่าใครหลาย ๆ คนเป็นแน่แท้ จึงได้กลับมาเน้นที่การทำความฝันอันใสบริสุทธิ์ให้เป็นจริงแทน โดยลาออกจากกองทัพอากาศในปี 1961 และมุ่งหน้าสู่ลอสแองเจลิส ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สมัครเข้าเรียนในวิทยาลัยประจำกรุงลอสแองเจลิสทันที พร้อมทั้งเริ่มอาชีพทางการแสดงที่ฝันไว้



ขณะเรียนในวิทยาลัยประจำกรุงลอสแองเจลิส ฟรีแมนได้พัฒนาโทนเสียงรื่นหูในแบบเฉพาะของเขาจากวิชาการพูดและใช้เสียง ทั้งยังเริ่มรับงานหลากหลายไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งรวมไปถึงการเป็นแดนเซอร์ในงานเวิลด์สแฟร์ประจำปี 1962 ที่ซีแอตเทิลด้วย ก่อนจะไปนิวยอร์ก และเริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกที่นั่นในปี 1967 จากการแสดงในละครบรอดเวย์เล็ก ๆ ของ จอร์จ ทาบอรี เรื่อง “The Niggerslovers” ต่อเนื่องด้วยการรับบท รูดอล์ฟ ใน “Hello, Dolly!” ฉบับนักแสดงผิวดำล้วน ทว่าบทที่เหมาะสำหรับฟรีแมนในช่วงนั้นยังมีไม่มากนัก บวกกับไม่มีใครจ้าง เขาจึงกระโดดจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งเพื่อหาบทต่าง ๆ และงานที่หลากหลาย กระทั่งปี 1971 ฟรีแมนถึงได้กลายเป็น อีซี่ รีดเดอร์ ในรายการ “The Electric Company” ซึ่งเป็นผู้แตกฉานด้านการอ่านที่คอยสอนเด็ก ๆ ให้รู้จักอ่านผ่านการร้องและเต้น โดยตั้งใจไว้ว่าจะทำอยู่เพียงสองปีเท่านั้น แต่แล้วเวลาก็ยืดยาวออกไปถึงหกปี หลังจาก “The Electric Company” ผ่านไป ฟรีแมนจึงหวนคืนสู่เวทีอีกครั้ง และกลายเป็นขวัญใจนักวิจารณ์ พร้อมคว้ารางวัลสำหรับละครบรอดเวย์มาได้มากมาย เป็นต้นว่า รางวัลดราม่าเดสก์ และรางวัลแคลเรนซ์ เดอร์เวนต์ จากการแสดงเป็นขี้เมาไร้สตินามว่า ซีค ใน “The Mighty Gents” เมื่อปี 1978 นอกจากนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโทนีจากการแสดงในบทเดียวกันนี้อีกด้วย



แม้จะเป็นที่ชื่นชอบโดยทั่วกัน แต่ “The Mighty Gents” ก็จบลงเมื่อหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ขณะที่ฟรีแมน ก้าวหน้าไปสู่อีกขั้นของการแสดง พร้อมเกียรติภูมิครั้งสำคัญกับหนึ่งรางวัลโอบีจากการแสดงอันโดดเด่นในบทนายพลโรมันพลัดถิ่นนามว่า โคริโอลานัส จากเทศกาลละครเช็คสเปียร์แห่งนิวยอร์ก และได้ครองรางวัลโอบีอีกครั้งจากการแสดงใน “Mother Courage” แต่หลังจากนั้นก็ตกอยู่ในช่วงมนตร์เสื่อม ห่างหายจากวงการไปถึงสองปีเพราะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเขาเป็นนักแสดงที่ทำงานด้วยยาก กระทั่งกลับมาปรากฎตัวให้เห็นในปี 1984 พร้อมคว้ารางวัลโอบีอีกครั้งจากบทผู้ส่งสารใน “Gospel at Colonus” ฉบับผู้กำกับฯ ลี โบรเออร์ ซึ่งจัดแสดงที่สถาบันดนตรีแห่งบรูกลิน และคว้ารางวัลดราม่าล็อกมาได้จากบทบาทเดียวกันนี้ในปี 1985 อีกด้วย แต่กระนั้น หิ้งรางวัลของเขายังมีรางวัลโอบีเพิ่มขึ้นอีกจากการแสดงอันทรงพลังใน “Driving Miss Daisy” ฉบับละครเวทีในบท โฮค โคลเบิร์น อันเป็นบทบาทที่จะนำความเฟื่องฟูมาสู่เขาอีกครั้ง เมื่อละครเวทีเรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ระดับออสการ์โดยผู้กำกับฯ บรูซ เบรสฟอร์ด ในอีกสองปีต่อมา



สำหรับภาพยนตร์เรื่องแรกของฟรีแมนนั้น คือ “Who Say I Can’t Ride A Rainbow?” (ปี 1971) ก่อนจะห่างหายไปจากจอภาพยนตร์ถึงเก้าปี และหวนคืนจอในดราม่าเรื่อง “Brubaker” (ปี 1980) กับบทนักโทษเสียสติซึ่งได้รับการยกย่องอย่างมากจาก พอลีน แค็ล นักวิจารณ์คนดังประจำนิตยสาร New Yorker อย่างไรก็ตาม แม้ว่างานแสดงบนเวทีของเขาจะโดดเด่นเป็นที่สุด แต่กับการแสดงในภาพยนตร์ช่วงแรก ๆ มอร์แกน ฟรีแมน ดูจะอ่อนรัศมีลง ได้รับแต่บทพื้น ๆ ในภาพยนตร์ธรรมดา ๆ ไม่โดดเด่น เป็นต้นว่า ภาพยนตร์เรื่อง “Teachers” (ปี 1985) และ “MARIE : A True Story” (ปี 1985) ทว่าเมื่อได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ครั้งแรกจากการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Street Smart” นั้น ชะตาชีวิตของฟรีแมนราวกับเปลี่ยนไปตลอด กล่าวคือ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่สองจากบทที่เคยแสดงมาก่อนอย่าง โฮค โคลเบิร์น ใน “Driving Miss Daisy” (ปี 1989) ต่อด้วยการแสดงอันโดดเด่นใน“Glory” (ปี 1989) มหากาพย์สุดซึ้งว่าด้วยเรื่องของกองทัพทหารผิวดำกลุ่มแรกที่เข้าร่วมสงครามกลางเมืองในสหรัฐฯ และการแสดงใน “The Bonfire of the Vanities” (ปี 1990) กับบทผู้พิพากษา เลนาร์ด ไวท์ ที่ยังคงตรึงตาตรึงใจผู้คนอยู่จนทุกวันนี้ ก่อนจะฝากอีกสุดยอดการแสดงไว้ใน “Robin Hood : Prince of Thieves” (ปี 1991) กับบทแขกมัวร์ผู้ลึกลับแต่ซื่อสัตย์นามว่า อซีม เรียกว่าทุกบทบาทที่ผ่านมาล้วนได้รับการยกย่องทั้งสิ้น แต่กระนั้นเขาก็ต้องก้าวไปสู่จุดสูงสุดในสายงานให้ได้



ในความเป็นจริง ฟรีแมนมักได้รับแต่บทรอง ทว่าเจิดจ้ากว่านักแสดงที่รับบทนำอยู่เสมอ อย่างเช่น การแสดงในภาพยนตร์รางวัลออสการ์ของผู้กำกับฯ คลินต์ อีสต์วูด เพื่อนเก่าของเขา เรื่อง “Unforgiven” (ปี 1992) ซึ่งมอบบทมือปืนกลับใจนามว่า เน็ด โลแกน ให้ฟรีแมนแสดง พร้อมร่วมแรงร่วมใจกับอดีตอาชญากรตัวร้าย (แสดงโดย อีสต์วูด เอง) เพื่อช่วยเหลือโสเภณีตกทุกข์ได้ยาก อาจกล่าวได้ว่าสองบทบาทใน “Unforgiven” และ “Robin Hood”นั้น สร้างโอกาสให้เขาแสดงเป็นตัวละครที่ไม่นิยมใช้คนดำเป็นผู้แสดง และนำไปสู่บทบาทอื่น ๆ เช่น บทประธานาธิบดีสหรัฐฯ และบทพระเจ้าในเวลาต่อมา ขณะเดียวกัน ก็เปิดตัวผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก ว่าด้วยเรื่องของตำรวจผิวดำในแอฟริกาใต้ที่ต้องแยกจากลูกชายเพราะปัญหาการแบ่งแยกสีผิว คือ “Bopha!” (ปี 1993) ซึ่งทั้งกดดันและเครียดมากถึงขนาดที่เขาปฏิญาณว่าจะไม่กำกับภาพยนตร์อีกแล้ว



ต่อมาในปี 1994 ฟรีแมนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่สาม จากการแสดงเป็น เรด ชายที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่ยังสามารถหาข้าวของทุกสิ่งจากโลกภายนอกมาสู่โลกภายในรอบรั้วได้เสมอ ยกเว้นสิ่งเดียวเท่านั้น คือ ความหวัง ในสุดยอดดราม่าเร้าอารมณ์เรื่อง “The Shawshank Redemption”

กล่าวได้ว่าฟรีแมนกอบโกยชื่อเสียงและเสียงยกย่องไปได้มหาศาล ราวกับไม่เคยแสดงเป็น อีซี่ รีดเดอร์ ในรายการ “The Electric Company” มาก่อน จนกระทั่งหลุดพ้นจากหลาย ๆ ปีแห่งการดิ้นรนต่อสู้นั้นมาได้ และเพิ่มพูนเสียงชื่นชมยกย่องให้กับตัวเองขึ้นไปอีก เมื่อรับบทเป็นตำรวจเบื่อโลกผู้เฉยเมยต่อทุกสิ่ง แต่ดันต้องออกตามรอยฆาตกรต่อเนื่องไปพร้อม ๆ กับตำรวจมือใหม่ (แสดงโดย แบรด พิตต์) ในภาพยนตร์เรื่อง “Seven” (ปี 1995) ต่อมาก็รับบทเป็นตัวละครลึกลับชื่อ ฮิบเบิล ในภาพยนตร์ดัดแปลงเรื่อง “Moll Flanders” (ปี 1996) ซึ่งไม่มีตัวตนอยู่ในนวนิยายต้นฉบับ รวมไปถึงบทบาทผู้สนับสนุนโครงการลับของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง “Chain Reaction” (ปี 1996) ปีถัดมา ฟรีแมนได้โอกาสที่มีไม่บ่อยนัก นั่นคือ รับบทนำเป็นตำรวจสืบคดีและนักจิตวิทยานามว่า อเล็กซ์ ครอส ในภาพยนตร์ระทึกขวัญชั้นดีเรื่อง “Kiss The Girl” (ปี 1997) ในขณะเดียวกัน สตีเวน สปีลเบิร์ก ซึ่งเห็นศีลธรรมจรรยาที่ฝังแน่นอยู่ในตัวฟรีแมน ก็เลือกเขามารับบทผู้ล้มล้างระบบทาสในภาพยนตร์เรื่อง “Amistad” (ปี 1997) ส่วนผู้กำกับฯ มิมี ลีเดอร์ นั้น ประทับใจรูปลักษณ์ภายนอก จึงขอยืมศักดิ์ศรีและลักษณะที่บ่งถึงการเป็นผู้นำของฟรีแมนมาใช้ในการกอบกู้วิกฤตโลก มอบหมายให้เขารับบทประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาซึ่งต้องจัดการกับอุกกาบาตยักษ์ที่กำลังจะพุ่งชนโลกในภาพยนตร์เรื่อง “Deep Impact” (ปี 1998)



ฟรีแมนเพิ่มผลงานในประวัติการทำงานของเขา ด้วยการเป็นผู้คุมงานสร้างภาพยนตร์ดราม่าอ้างอิงจากเรื่องจริงชื่อ “Mutiny” (ออกฉายทางช่องเอ็นบีซีในปี 1999) ซึ่งจะให้รายละเอียดเบื้องลึกเบื้องหลังของเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่การรวมกองทัพสหรัฐฯให้เป็นหนึ่งเดียว ต่อมาในปี 2000 จึงร่วมแรงร่วมใจกับเพื่อนนักแสดงอย่าง จีน แฮ็กแมน นั่งแท่นเป็นผู้คุมงานสร้างร่วม และแสดงเองทั้งคู่ในดราม่าไล่ล่าชื่อ “Under Suspicion” (ต้นฉบับเป็นภาพยนตร์ฝรั่งเศสระทึกขวัญชื่อ “Garde a Vue” ในปี 1982) ปีถัดมา ฟรีแมนมีการแสดงอันโดดเด่นอีกครั้ง ในบทมือปืนที่ดันไปหลงใหลเหยื่อสาว (แสดงโดย เรอเน เซลล์เวเกอร์) ในภาพยนตร์เรื่อง “Nurse Betty” อันเป็นหนึ่งในบทบาทที่สะเทือนใจที่สุดและแปลกที่สุดในอาชีพทางการแสดงของเขา จากนั้นก็กลับมารับบท อเล็กซ์ ครอส อีกครั้ง ในภาพยนตร์ภาคก่อนของ “Kiss The Girl” ซึ่งใช้ชื่อว่า “Along Came a Spider” (ปี 2001) ประชันบทบาทกับ โมนิกา พอตเตอร์ ต่อด้วยการแสดงร่วมกับ แอชลีย์ จัดด์ ในภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง “High Crimes” (ปี 2002) รวมไปถึง รับบทผู้บัญชาการซีไอเอ ใน“Sum of All Fears” (ปี 2002) ซึ่งภายหลังต้องกลายเป็นผู้คุ้มครองดูแลเด็กหนุ่มนามว่า แจ็ค ไรอัน (แสดงโดย เบน อัฟเฟล็ก) อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์ดัดแปลงจากนวนิยายติดอันดับขายดีของ ทอม แคลนซี เรื่องนี้กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร



ปีต่อมา ฟรีแมนรับบทแปลกประหลาดเกินจริงเป็นหนึ่งในกองกำลังต่อต้านมนุษย์ต่างดาวในภาพยนตร์ระทึกขวัญเหนือธรรมชาติเรื่อง“Dreamcatcher” (ปี 2003) ดัดแปลงจากนวนิยายของ สตีเฟน คิง ซึ่งล้มเหลวไม่เป็นท่าทั้งในแง่ของศิลปะและคำวิจารณ์ จากนั้นก็รับบทเป็นพระเจ้าสุดฮาในคอมเมดีสุดฮิตนำแสดงโดย จิม แคร์รีย์ เรื่อง “Bruce Almighty” ต่อด้วยบททนายชาวฮาวายเอียนในภาพยนตร์ที่รวมหลากหลายแนวไว้ด้วยกันของผู้กำกับฯ เอลเมอร์ เลนาร์ด เรื่อง “The Big Bounce” (ปี 2004) กระทั่งปรากฏตัวในภาพยนตร์ขวัญใจนักวิจารณ์อันแสนงดงามละเอียดอ่อนโดยผู้กำกับฯ เพื่อนเก่า คลินต์ อีสต์วูด เรื่อง “Million Dollar Baby” (ปี 2004) ในบทบาทนักมวยแก่ ๆ ผู้อัดแน่นไปด้วยความหดหู่เศร้าหมองและตาบอดข้างหนึ่งนามว่า สแกร็ปส์ ซึ่งส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงสบทบชายเป็นครั้งที่สอง (ครั้งแรกคือการแสดงใน “The Shawshank Redemption”) ทว่าเขาได้รางวัลชนะเลิศจากสมาคมนักแสดงภาพยนตร์แทน และเป็นครั้งที่สี่ที่ติดโผออสการ์ ซึ่งท้ายที่สุดก็คว้ามันมาครองได้ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม



อย่างไรก็ตาม เขายังไม่หยุดพัก โดยยังมีผลงานออกสู่สายตาอย่างต่อเนื่องหลังจากครองออสการ์ เริ่มที่บทบาทนักเปียโนตาบอดซึ่งช่วยให้ชายที่ถูกฝึกมาเพื่อสู้ (แสดงโดย เจ็ต ลี หรือ หลี่เหลียงเจี่ย) หลุดพ้นจากที่คุมขังออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในภาพยนตร์แอ็กชั่นเขย่าขวัญเรื่อง “Unleashed” (ปี 2005) ซึ่งรวบรวมศิลปะการต่อสู้ไว้มากมายและหลากหลายไปด้วยอารมณ์จนเป็นภาพยนตร์ขวัญใจนักวิจารณ์ ต่อมาจึงเอาใจแฟน ๆ หนังสือการ์ตูนด้วยการรับบทมือขวาของ บรูซ เวย์น นามว่า ลูเชียส ฟ็อกซ์ ในภาพยนตร์ที่ย้อนกลับไปเล่าถึงต้นกำเนิดวีรบุรุษแห่งรัตติกาลเรื่อง “Batman Begins” (ปี 2005) ซึ่งใกล้เคียงกับบท “คิว” ที่เขาได้รับในภาพยนตร์เรื่อง “Dark Knight” ตรงที่เป็นผู้จัดหาอาวุธแปลกใหม่ล้ำสมัยให้กับตัวละครอื่น ๆ ในเรื่อง ก่อนจะใช้เสียงทุ้มนุ่มลึกของเขาบรรยายเรื่องราวในภาพยนตร์ที่ต่างกันถึงสองเรื่อง ได้แก่ “March of the Penguins” (ปี 2005) ภาพยนตร์ฉบับอเมริกันของภาพยนตร์เชิงสารคดีสัญชาติฝรั่งเศสที่ใช้ชื่อว่า “La Marche de L’Empereur” และอีกเรื่องคือภาพยนตร์ไซไฟสุดคลาสสิกของผู้กำกับฯ สตีเวน สปีลเบิร์ก เรื่อง “War of the Worlds” (ปี 2005) สำหรับภาพยนตร์เรื่องต่อมาของฟรีแมนนั้น เป็นภาพยนตร์ที่ถ่ายทำมายาวนานโดยผู้กำกับฯ แลสซี ฮอลล์สตรอม เรื่อง “An Unfinished Life” (ปี 2005) ในบทบาทชายเสียงนุ่มซึ่งดันเป็นเพื่อนกับเจ้าของฟาร์มที่แสนจะขี้หงุดหงิด อันเป็นเสมือนเสียงสะท้อนจากภาพยนตร์เรื่อง “Million Dollar Baby” ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะถ่ายทำก่อนก็ตาม



ในขณะที่บทบาทส่วนใหญ่ในอาชีพทางการแสดงของเขามักจะเป็นผู้เชิดชูอำนาจแห่งศีลธรรม ทั้งยังทรงเกียรติ และประกอบไปด้วยเหตุผล แต่ก็มีบ้างที่ฟรีแมนขอชิมลางเป็นผู้ร้าย ได้แก่ บทบาทในภาพยนตร์กระตุกขวัญเรื่อง “Lucky Number Slevin” (ปี 2006) ว่าด้วยกรณีผิดฝาผิดตัว ซึ่งฟรีแมนแสดงเป็นหัวหน้าแก๊งอาชญากรในนิวยอร์กที่กำลังระเบิดศึกอยู่กับศัตรูผู้ขวางทาง (แสดงโดย เบน คิงสลีย์) โดยมีชายหนุ่มที่ยังอ่อนต่อโลกในนิวยอร์ก (แสดงโดย จอช ฮาร์ตเนตต์) เป็นตัวแปรในศึกนี้ หลังจากนั้น ฟรีแมนรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างและแสดงเองในภาพยนตร์เรื่อง “10 Items or Less” (ปี 2007) หนึ่งในคอมเมดีหวานอมขมกลืนว่าด้วยเรื่องดาราฮอลลีวู้ดแก่ ๆ ที่กลายเป็นเพื่อนกับพนักงานร้านอาหารผู้แสนจะปากร้าย (แสดงโดย ปาซ เวกา) ก่อนที่เขาจะกลับมารับบทคนบนฟ้าอีกครั้งใน “Evan Almighty” (ปี 2007)

มอร์แกนและครอบครัว

 

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Donald trumps's profile


โพสท์โดย: Donald trumps
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
28 VOTES (4/5 จาก 7 คน)
VOTED: chuanb, makhamdong, BARAK OBAMA, แย้มศรี, Sayuri, ปราบอธรรม
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ช็อตฮาประชาชี : บ้านญาติบรรยากาศแบบนี้ ต้องหาคนมานอนเป็นเพื่อนหน่อยเน่อ ไม่งั้นหลอนแน่ๆพฤติกรรมและวัฒนธรรมแปลกประหลาด แต่เป็นเรื่องปกติของผู้คนในอิตาลี ที่คุณอาจจะสงสัยและไม่รู้มาก่อน!
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
แล้งหนัก...ประปาไร้น้ำ เกาะพีพีต้องซื้อน้ำใช้ช็อตฮาประชาชี : บ้านญาติบรรยากาศแบบนี้ ต้องหาคนมานอนเป็นเพื่อนหน่อยเน่อ ไม่งั้นหลอนแน่ๆอดีตผู้บริหารหญิง Google ไทย เมาแล้วขับ ลาออกเมื่อต้นปี..ทั้งนี้ยังมาก่อเหตุซ้ำอีก!อดีตหัวหน้าพรรคคนดัง ย้ายซบ ปชป. ตอบแทนบุญคุณช่วยเป็น สส. สมัยแรก
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
Huawei ทวงคืนบัลลังก์! ขึ้นแท่นอันดับ 1 ตลาดสมาร์ทโฟนจีนอีกครั้ง"ภาวะโลกเดือด" การปรับตัวในยุคที่ท้าทายสุดขีดของมนุษย์!!วิธีใช้ " ปลั๊กพ่วง " ให้ถูกวิธีกินอย่างไรไม่ให้เป็น (เบาหวาน)
ตั้งกระทู้ใหม่