ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
จากนโยบายการปรับเวลาเรียนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ลดชั่วโมงเรียนของเด็กลง โดยเรียนภาควิชาการในสาระหลักเพียงแค่เวลา 14 นาฬิกา จากนั้นให้เด็กทำกิจกรรมนอกห้องเรียน เพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในทุกด้าน ในรูปแบบของกิจกรรมเสริมหลักสูตร และการเรียนรู้แบบบูรณาการ มีประเด็นซึ่งควรแก่การอธิบาย แนวปฏิบัติ เพื่อสาธารณชนรับทราบ ดังนี้
การปรับเวลาเรียน ให้เรียนสาระการเรียนรู้หลักเพียงแค่ 14 นาฬิกา ไม่ได้มีความประสงค์ให้ยุติการเรียนการสอน แล้วนักเรียนกลับบ้านแต่เป็นเพียงการสอนวิชาหลัก เช่น ภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และสังคมศึกษา ในช่วงเช้าจนถึง 14 นาฬิกา และหลังจากนั้นจะเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนได้แก่ การเรียนกลุ่มสาระ ที่เหลือ คือ สุขศึกษาและพลศึกษา การงานพื้นฐานอาชีพและเทคโนโลยี และวิชาศิลปะและนาฎศิลป์ ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบบูรณาการและกิจกรรมกลุ่ม อันจะทำให้เด็กลดความเคร่งเครียด จากการเรียนเนื้อหามาเป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน รวมทั้งเสริมสร้างทักษะทุกด้าน คือด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม
ความคิดในการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ มาจากข้อเรียกร้องของเด็ก ผู้ปกครองและสังคม ว่าเด็กเรียนเนื้อหาวิชาการมากจนเกินไป เรียนหนักไม่มีการพักผ่อน มีการบ้านมาก ต้องทำการบ้านหนัก เป็นภาระต่อพ่อแม่ ซึ่งเกิดความห่วงใย และแม้จะเรียนเนื้อหามาก แต่ผลการประเมิน ผลสัมฤทธิ์ของเด็กไทย เมื่อเปรียบเทียบกับนานาชาติ ก็ไม่ได้ดีขึ้น การกำหนดหลักสูตรให้นักเรียนชั้นประถม เรียนมากกว่า 1000 ชั่วโมงต่อปี และมัธยมศึกษามากกว่า 1200 ชั่วโมงต่อปี อาจไม่ใช่เครื่องชี้วัดคุณภาพการศึกษา เพราะเด็กประถมในต่างประเทศเรียนประมาณ 720 – 800 ชั่วโมงต่อปีเท่านั้นรวมทั้งการเรียนการสอนของโรงเรียนในประเทศกลุ่มอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ก็เรียนวิชาการเพียงช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายจะเป็นกิจกรรมเสริมทักษะการเรียนรู้ การเล่นกีฬา ดนตรี และศิลปะ เป็นต้น
ประเทศไทย ได้นำแนวคิดนี้มาเพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน โดยมีตัวอย่างของโรงเรียนในประเทศไทยเองหลายโรง เช่น โรงเรียนสาธิต โรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ รวมทั้งโรงเรียนของรัฐบางโรงที่ดำเนินการแล้วได้ผลน่าพึงพอใจ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ปรับลดชั่วโมงเรียนและยืดหยุ่นหลักสูตรลงเหลือเพียง 840 ชั่วโมงต่อปีและดำเนินโครงการปรับลดเวลาเรียนเป็นการนำร่องในโรงเรียนของ สพฐ. ประมาณ 10% ของโรงเรียนทั้งหมด รวมประมาณ 3000 โรงเรียน โดยจะดำเนินการในภาคเรียนที่สองของปีการศึกษา 2558 คือเดือนพฤศจิกายน เป็นต้นไป
วิธีดำเนินการ คือ มีการแต่งตั้งคณะทำงาน ซึ่งมาจากผู้บริหาร ครู และนักวิชาการ กำหนดรูปแบบและแนวปฏิบัติ เพื่อนำไปใช้ในโรงเรียนที่สมัครใจ ร่วมกิจกรรม โดยมอบให้เขตพื้นที่การศึกษา สำรวจโรงเรียนที่มีความพร้อมและมีความประสงค์จะจัดการเรียนการสอนตามแนวทางนี้ โดยรูปแบบที่นำเสนอจะระบุถึงแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การจัดตารางสอนที่เหมาะสม ซึ่งจะมีความหลากหลายและแตกต่างกันออกไป 5-6 แบบ แล้วแต่ประเภทของโรงเรียน
กิจกรรมในช่วงเช้า นักเรียนมาเรียนในเวลาเดิม เน้นการสอนวิชาหลักในห้องเรียนจนกระทั่งถึงประมาณ 14 นาฬิกา ก็จะปรับกิจกรรมคือ 1. เปลี่ยนไปเป็นการเรียนสาระการเรียนรู้เสริมอีก 3 สาระ ซึ่งนักเรียนจะได้ออกมานอกห้องเรียนปกติ มาเรียนรู้ในสนามกีฬา ห้องสมุด ห้องวิทยาศาสตร์ ห้องดนตรี ห้องศิลปะ หรือในมุมอื่นที่เหมาะสม โดยเนื้อหาดังกล่าว การประเมินผลก็เป็นการประเมินจากผลงานหรือกิจกรรมกลุ่มอยู่แล้ว 2. บางโรงเรียนจะจัดให้มีกิจกรรมชมรม เช่นชมรมดนตรี กีฬา ศิลปะ สภานักเรียน ชมรมบำเพ็ญประโยชน์ ลูกเสือ ฯลฯ รวมทั้งโรงเรียนต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เสริมสร้างทักษะชีวิตให้กับเด็ก เช่น การเรียนว่ายน้ำ ฝึกวินัยจราจร การทำอาหาร การทำขนม การดูแลความสะอาดบ้านเรือน การซักรีดเสื้อผ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้เด็กต้องนำไปใช้ในชีวิตจริง ทั้งนี้หากชุมชนมีภูมิปัญญาท้องถิ่นก็สามารถเข้ามาช่วยสอนเด็กๆ ได้ 3. การสอนการบ้านหรือการสอนเสริมสำหรับเด็กเรียนอ่อน โดยเพื่อนหรือครูทำให้เมื่อเด็กกลับบ้านก็จะไม่ต้องทำการบ้านจนดึก และเป็นภาระแก่ครอบครัว
เวลาเรียนหลังจาก 14 นาฬิกา โดยประมาณจะสิ้นสุดตามเวลาเลิกเรียนเดิมของแต่ละโรงเรียน นักเรียนก็จะเลิกเรียนและกลับบ้านตามปกติ ผู้ปกครองมารับนักเรียนได้ตามเวลาเดิม ไม่ได้ปล่อยให้เด็กออกนอกโรงเรียนหรือมีเวลาว่างจนเป็นอิสระ และไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย กิจกรรมเสริมในช่วงเวลาดังกล่าวนี้โรงเรียนจะต้องไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆเลยจากนักเรียน
การเลิกเรียนเวลา 14 นาฬิกา จึงเป็นเพียงการเลิกเรียนเนื้อหาสาระในห้องเรียน ไปสู่การเรียนรู้นอกห้องเรียน ภายใต้การกำหนดรูปแบบกิจกรรมที่เหมาะสม เพื่อลดความเครียดและมุ่งเน้นเฉพาะเนื้อหาสาระไปสู่การเรียนรู้ที่เสริมสร้างทักษะที่พึงประสงค์ทุกด้านให้กับเด็กจึงเป็นการคืนความสุขให้แก่เด็กและผู้ปกครองโดยแท้จริง
ป.ล. ทั้งหมดเป็นข้อมูลที่ส่งต่อๆกันทางโซเชียลมีเดีย อย่างไรก็ตามควรรอแถลงข่าวอย่างเป็นทางการณ์น่าจะดีที่สุด