หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ข้อเท็จจริงเรื่องการแสดงฤทธิ์(มีอิทธิปาฏิหาริย์เป็นเบื้องต้น)ในพระศาสนาพุทธ

โพสท์โดย นาคเฝ้าคัมภีร์

    อย่างที่ถูกทำให้เชื่อกันมาหลายร้อยปีแล้วว่า การแสดงฤทธิ์ของเหล่าอรหันต์ในพระพุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งที่"ผิด" โดยมีการกล่าวอ้างเหตุการณ์ในบันทึกสมัยพุทธกาลซึ่งเป็นประวัติส่วนหนึ่งของท่านปิณโฑลภารทวาชเถระ(ญี่ปุ่นเรียกว่าว่า "บินซุรุ") ซึ่งแสดงฤทธิ์เหาะขึ้นในอากาศไปรับบาตรไม้จันท์ตามคำท้าทายของเศรษฐีแห่งกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ และจากเหตุการณ์นี้เองที่มีการ"ตัดทอน"พุทธวจนะขององค์โคดมและนำมาเป็นข้อกล่าวอ้างในการห้ามเหล่าอรหันต์แสดงฤทธิ์! เหตุการณ์ในครั้งนั้น ขอนำมาถอดความ(ในบางส่วนของข้อความ) ดังนี้

 

    สมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน มหาวิหาร กรุงราชคฤห์ มีเศรษฐีผู้หนึ่ง(ชาวบ้านขนานนามว่า ราชคหเศรษฐี)ใคร่จะลงเล่นน้ำในแม่น้ำคงคา จึงให้บริวารขึงตาข่ายเป็นรั้วล้อมในท่าที่ตนอาบน้ำอยู่นั้น เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์น้ำต่างๆ ขณะนั้นมีไม้จันทน์แดงต้นหนึ่งเกิดที่ริมฝั่งเหนือน้ำขึ้นไป ถูกน้ำเซาะรากโค่นลงไหลมาตามน้ำถูกกระแสน้ำพัดกระทบกับของแข็งหักเป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่กระจัดกระจายไปตามน้ำ มีอยู่ก้อนหนึ่งเป็นปุ่มซึ่งแตกออกมา กลิ้งกระทบหินและกรวดทรายกลายเป็นก้อนกลมอย่างดี และมีตะไคร่น้ำเกาะอยู่โดยรอบไหลมาติดที่ตาข่ายนั้นเศรษฐีให้คนตรวจดูรู้ว่าเป็นไม้จันทน์แดงแล้วคิดว่า

“ไม้จันทน์แดง ในบ้านของเรามีอยู่มากมาย เราควรจะทำอะไรดีกับไม้จันทน์แดงก้อนนี้?”

 

    ท่านเศรษฐีนั้นยังไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ ยังไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ วางตนเป็นกลาง จึงคิดขึ้นได้ว่า

“ในโลกนี้มีชนเป็นจำนวนมากต่างก็พูดอวดว่าตนเป็นพระอรหันต์ เรายังไม่รู้ชัดว่าผู้ใดเป็นพระอรหันต์กันแน่ จึงได้คิดว่า เราควรให้ช่างกลึงปุ่มไม้จันทน์แดงนี้ทำเป็นบาตรแล้วแขวนไว้ที่ปลายไม้ไผ่ต่อกันให้สูง ๑๕ วา(๓๐ เมตร)เราจักให้บาตรนั้นเป็นทาน ส่วนที่กลึงเหลือเราจักเก็บไว้ใช้”

 

    หลังจากนั้น ท่านราชคหเศรษฐีให้กลึงบาตรด้วยปุ่มไม้แก่นจันทน์นั้น แล้วใส่สาแหรกแขวนไว้ที่ปลายไม้ไผ่ผูกต่อๆกันขึ้นไป แล้วประกาศ(ด้วยความเป็นกลางทางความเชื่อ)ว่า

ผู้ใดเป็นอรหันต์ในโลกนี้ มา"ทางอากาศ"รับเอาบาตรนั้นไป ผู้ใดถือบาตรนั้นได้(ด้วยวิธีนี้)เราจึงจะเชื่อถือผู้นั้นว่าเป็นพระอรหันต์ เราพร้อมด้วยภรรยา และบุตรจะขอถึงผู้นั้นเป็นสรณะที่พึ่งตลอดชีวิต

 

    ครั้งนั้นเมื่อข่าวการประกาศท้าทายของราชคหเศรษฐีได้แพร่สะพัดออกไป เจ้าสำนักครูทั้ง ๖ คือ

๑.ปูรณกัสสป

๒.มักขลิโคสาล

๓.อชิตเกสกัมพล

๔.สัญชัยเวลัฎฐบุตร

๕.ปกุทธกัจจายนะ

๖.นิครนถ์นาฏบุตร(ลูกนักฟ้อน?)

    ต่างก็มีความประสงค์อยากจะได้บาตรไม้จันทน์แดงด้วยกันทั้งนั้น ขณะนั้น ปูรณะกัสสปเข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐีแล้วกล่าวว่า

“ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ ขอท่านจงให้บาตรแก่ อาตมาเถิด”

    ราชคหเศรษฐีกล่าวยืนยันว่า

“ในเมื่อท่านต้องการอยากจะได้ ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ก็จงมาทางอากาศปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแล(ด้วยอำนาจฤทธิ์ที่ตัวท่านมี)ไปเถิด”

 

    ต่อมา ท่านมักขลิโคสาล ท่านอชิตเกสกัมพล ท่านปกุธกัจจายนะ ท่านสัญชัยเวลัฏฐบุตร ท่านนิครนถ์นาฏบุตร ได้เข้าไปหาท่านราชคหเศรษฐี แล้วกล่าวว่า

“ท่านคหบดี อาตมานี้แหละเป็นอรหันต์และมีฤทธิ์ ขอท่านจงให้บาตรแก่อาตมาเถิด”

ท่านเศรษฐีตอบว่า

“ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ก็จงมาทางอากาศปลดบาตรที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั่นแล(ด้วยอำนาจฤทธิ์ที่ตัวท่านมี)ไปเถิด”

(สรุปคือ อยากได้ก็เหาะขึ้นไปเอาเอง!)

 

    ครั้นถึงวันที่ ๖ นิครนถ์นาฏบุตร ได้ใช้ให้ศิษย์ไปบอกแก่เศรษฐีว่า

“บาตรนี้สมควรแก่อาจารย์ของเรา ท่านอย่าให้ถึงกับต้องแสดงฤทธิ์เหาะมาเพราะเหตุเพียงบาตรใบเดียวซึ่งเป็นวัตถุเล็กน้อยนี้เลย จงมอบให้แก่อาจารย์ของเราเถิด”

 

    ท่านเศรษฐี ก็ยังคงยืนยันเหมือนเดิม นิครนถ์นาฏบุตรจึงวางแผนกับลูกศิษย์ว่า

“เมื่อเราทำท่ายกมือ ยกเท้า แสดงอาการจะเหาะขึ้นไปเอาบาตร พวกเจ้าจงเข้ายึดมือและเท้าของเราไว้แล้วกล่าวห้ามว่า ไฉนท่านอาจารย์จึงทำอย่างนี้ท่านอย่าได้แสดงคุณความเป็นอรหันต์ที่ปกปิดไว้เพราะเหตุเพียงบาตรใบนี้เลย”

 

    เมื่อตกลงวางแผนกันเรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปพูดขอบาตรกับเศรษฐี เมื่อได้รับคำปฏิเสธเช่นเดิม จึงแสดงท่าจะเหาะขึ้นไปเอาบาตร บรรดาศิษย์ทั้งหลายก็พากันเข้าห้ามฉุดรั้งไว้แล้ว กล่าวตามที่ตกลงกันไว้นั้น นิครนถ์นาฏบุตรจึงพูดกับเศรษฐีว่า

“เราจะเหาะขึ้นไปเอาบาตร แต่บรรดาศิษย์ทั้งหลายพากันห้ามฉุดรั้งไว้อย่างที่เห็นนี้ ดังนั้น ขอท่านจงให้บาตรแก่เราเถิด”

 

    เศรษฐีก็ยังไม่ยอมให้เช่นเดิม พวกเดียรถีร์พยายามอยู่ ๖ วัน ก็ยังไม่ได้บาตรเลย

 

    ในเวลาเช้าของวันที่ ๗ ท่านพระมหาโมคคัลลานะกับท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ครองอันตรวาสกในเวลาเช้า แล้วถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ อันที่แท้นั้น ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็เป็นพระอรหันต์และมีฤทธิ์ ทั้ง ๒ ท่านยืนห่มจีวรอยู่บนหินดาดแห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงนักเลงทั้งหลายพูดกันว่า

“เมื่อก่อนครูทั้ง ๖ ต่างเที่ยวกล่าวอวดอ้างว่า"เราเป็นอรหันต์" แต่เมื่อท่านเศรษฐีกรุงราชคฤห์ให้ยกบาตรตั้งขึ้นแล้วกล่าวว่า"ถ้าอรหันต์ยังมีอยู่จริง จงมาทางอากาศแล้วถือเอาบาตรนี้เถิด" จนถึง ๗ วันเข้าวันนี้แล้ว ก็ไม่เห็นมีใครสักคนเดียวเหาะขึ้นไปในอากาศเอาบาตรที่ท่านเศรษฐีแขวนไว้แล้วแสดงตนว่าเป็นอรหันต์แม้แต่ผู้เดียว วันนี้พวกเราได้รู้กันแล้วว่า อรหันต์ไม่มีในโลก

 

    ท่านพระโมคคัลลานะได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวกะท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ว่า

“ดูก่อนอาวุโส ภารทวาชะ ท่านได้ยินคำพูดของนักเลงเหล่านี้ไหม? พวกนักเลงเหล่านี้พูดจาเหมือนย่ำยีพระพุทธศาสนา ท่านมีฤมธิ์มาก มีอานุภาพมาก ท่านจงไปถือเอาบาตรมาทางอากาศเถิด”

 

    ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ จึงได้กล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า

 

“ดูก่อนอาวุโส โมคคัลลานะ ท่านปรากฏว่าเป็นเลิศกว่าบรรดาสาวกผู้มีฤทธิ์ ท่านควรถือเอาบาตรนั่น แต่เมื่อท่านไม่รับ เราจักรับ”

(ประมาณว่าท่านพระมหาโมคคัลลานะอาวุโสกว่าท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเยอะ ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะจึงเกรงใจเห็นแก่อาวุโส แต่ท่านพระมหาโมคคัลลานะต้องการให้ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเป็นผู้จัดการในเรื่องนี้ จึงบอกให้ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะไปรับบาตรแทน)

 

    ในที่สุด(หลังจากหาข้อสรุปได้แล้ว)ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะจึงรับคำของพระมหาโมคคัลลานะแล้วเข้าจตุถฌานสมาบัติอันเป็นฐานแห่งอภิญญา กระทำอิทธิฤทธิ์เหาะขึ้นไปสู่เวหาส(อากาศ)พร้อมทั้งหินดาดมี(ความกว้าง-ความยาว-ความสูง)ประมาณ ๓ คาวุต(๑๒๐๐๐ เมตร)ที่ยืนอยู่นั้นลอยขึ้นในอากาศเหมือนปุยนุ่น เหาะเวียนเหนือกรุงราชคฤห์ ๗ รอบ กระทำให้หินดาดนั้นมีสภาพดุจฝาปิดทั้งเมืองไว้ พวกชาวนครกลัวหินนั้นจะตกทับจึงกางกระด้งขึ้นเหนือศีรษะแล้วเข้าไปหลบตามที่นั้นๆ(กระด้งคงช่วยได้หรอกนะ) และร้องขอให้ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะยึดหินนั้นไว้ให้มั่น อย่าให้ตกลงมาทำความพินาศแก่ชาวเมืองเลย

 

    ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะจึงใช้นิ้วเท้าเหวี่ยงหินนั้นทิ้งไป ก้อนหินกลับไปประดิษฐานในที่เดิม ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะลงยืนบนบอดเรือนของเศรษฐี ท่านราชคหเศรษฐีพร้อมกับบุตรภรรยายืนอยู่ในเรือนของตน ประคองอัญชลีนมัสการกล่าวนิมนต์ว่า

“ท่านเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้า ภารทวาชะ จงประดิษฐานในเรือนของข้าพเจ้านี้เถิด”

 

    ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะประดิษฐานในเรือนของท่านราชคหเศรษฐี ขณะนั้นท่านราชคหเศรษฐีรับบาตรจากมือของท่านพระปิณโฑลภารทวาชะแล้วได้จัดของเคี้ยวอันประณีตมีค่ามากจนเต็มถวายท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ

 

    ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะได้รับบาตรนั้นไปสู่พระอาราม ชาวบ้านได้ทราบข่าวว่าท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตรของราชคหเศรษฐีไปแล้ว และชาวบ้านเหล่านั้นมีเสียงอึกทึกเกรียวกราว ติดตามพระปิณโฑลภารทวาชะไปข้างหลังๆอ้อนวอนนิมนต์ให้ท่านแสดงปาฏิหาริย์ให้ชมบ้าง พระเถระก็แสดงให้ชมตามที่นิมนต์นั้น พระบรมศาสดาทรงสดับเสียงอื้ออึง จึงตรัสถามพระอานนท์ว่า 

พระผู้มีพระภาคได้ทรงสดับเสียงอึกทึกเกรียวกราว ครั้นแล้ว ตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า

“อานนท์ นั่นเสียงอึกทึกเกรียวกราว เรื่องอะไรกัน?”

    ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า

“พระพุทธเจ้าข้า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะปลดบาตร ของท่านราชคหเศรษฐีลงแล้ว พวกชาวบ้านทราบข่าวว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ปลดบาตรของท่านราชคหเศรษฐีลง จึงพากันติดตามท่านพระปิณโฑลภารทวาชะมา ข้างหลังๆ อย่างอึกทึกเกรียวกราว พระพุทธเจ้าข้า เสียงอึกทึกเกรียวกราวนี้ คือเสียงนั้น พระพุทธเจ้าข้า”

 

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระปิณโฑลภารทวาชะว่า

“ภารทวาชะ ข่าวว่า เธอปลดบาตรของราชคหเศรษฐีลง จริงหรือ?”

    ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะทูลรับว่า

“จริง พระพุทธเจ้าข้า”

 

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า

“ภารทวาชะ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนเธอจึงได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์แก่พวกคฤหัสถ์เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ ซึ่งเป็นดุจซากศพเล่า มาตุคามแสดงของลับเพราะเหตุแห่งทรัพย์ซึ่งเป็นดุจซากศพแม้ฉันใดเธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์แก่พวกคฤหัสถ์เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ซึ่งเป็นดุจซากศพ การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส”

 

    ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์แก่พวกคฤหัสถ์(เพราะเหตุแห่งลาภสักการะ มีบาตรไม้จันท์นี้ เป็นต้น!!!) รูปใดแสดงต้องอาบัติทุกกฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทำลายบาตรไม้นั่น บดให้ละเอียด ใช้เป็นยา หยอดตาของภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุไม่พึงใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ”

 

    อนึ่ง ในเมื่อมีพุทธวจนะตรัสรองรับหลายคราแล้วว่า อิทธิปาฎิหาริย์เป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แล้วทำไมต้องตรัสห้ามการแสดงฤทธิ์แก่พวกคฤหัสถ์ด้วย???

    คำตอบนั้น เป็นเพราะว่าการแสดงอิทธิปาฎิหาริย์เพื่อหวังในผล คือ ลาภสักการะนั้น ไม่ก่อให้เกิดความศรัทธาความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใสในพระศาสนา 

 

อ.อัตถนิชได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า

 

ให้แสดง(ฤทธิ์)ได้ต่อเมื่อ..

 

๑. มีลักษณะเป็นภายใน

ในกรณีแสดงธรรม.... เพื่อเพิ่มพูนศรัทธาผู้ไม่ศรัทธาให้ได้ศรัทธาผู้ที่ศรัทธาอยู่แล้วให้ศรัทธามากๆยิ่งขึ้นไปอีก.ในกรณีท่านพระจุลปันถกะ ท่านรับเวร สอนธรรมภิกษุณีเป็นตัวอย่าง ท่านพูดไม่เก่ง...เลยแสดงฤทธิ์แทนการสอน จนภิกษุณีตื่นเต้นสนุกสนาน ประทับใจ ถึงขั้นเอามาเปรียบเทียบการสอนธรรมของท่านพระอานนท์ว่าสอนได้น่าเบื่อ สู้ของท่านพี่จุลปันถกะไม่ได้ ตื่นเต้น เร้าใจ หนุกหนาน วู้ ๆ

 

๒. มีลักษณะเป็นภายนอก

...คือกรณี ท่าน สันตติมหาอำมาตย์, ท่านพระอานนท์ ตอนปรินิพพาน ไม่ให้ใครมาเป็นภาระเรื่องจัดการสรีระร่าง ท่านพระอานนท์ระเบิดพระธาตุให้กระจาย 2 ฟากฝั่งแม่น้ำเพื่อพุทธบริษัท ทั้ง 2 ฟากได้เก็บไปสักการะบูชา ไม่ให้น้อยใจว่า ได้ฝ่ายฟากเดียวหรือกรณี ท่านพระทัพพะมัลลบุตร จัดการเผาสรีระตนเองกลางอากาศโดยไม่เหลือเชื้อ...คือไม่อธิษฐานพระธาตุให้ผู้ใดได้บูชาเลย แต่ก็แสดงปาฏิหาริย์ "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แม้การดับขันธปรินิพพาน ก็ไม่ให้ผู้ใดได้เป็นภาระ ฯลฯ

    แต่ที่ท้าทายที่สุดไม่พ้นท่านสันตติมหาอำมาตย์ เล่นกันกลางวันแสกๆ บนลานกว้างท่ามกลางมหาชน แห่งพระนครสาวัตถี ที่ได้เห็นเป็นบุญตา...และที่ท่านต้องปรินิพพานในวันที่บรรลุเลย...นั่นคือการชดเชยอายุขัยให้กับผู้ตายในสงครามที่ท่านฆ่ามากมายจนได้เป็นมหาราชา 7 วัน แล้วก็กำหนดไฟเผาตนเองเรียบร้อย เป็นพระธาตุยืนยันความมีตัวตนในประวัติศาสตร์ด้วยเรียบร้อย

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
32 VOTES (4/5 จาก 8 คน)
VOTED: jarasporn, Thorsten, ซาอิ, สำนึกดีมีมั้ย..สาส, Ahom, บอสส์ สึ, เผลอหัวใจ
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ทัพภาค 2 จัดหนัก งัดจรวดไทย DTI-1G รับใช้ชาติ ถล่ม BM-21 เขมรให้กระจาย"ทัพฟ้าไทย" ยืดอกรับ ส่งฝูงบินถล่มคลังแสงพระตะบอง ลั่น "เราไม่ได้เริ่มก่อน" แต่ต้องทำเพื่อปกป้องประชาชนเขมรวิเคราห์ "จุดอ่อนของ T-50TH คืออะไร?"📜 ภาพเก่าประวัติศาสตร์ “พระตะบอง” จากแผ่นดินสยาม สู่ความทรงจำส่องปรากฏการณ์ “มิคามิ ยูอา” บุกวงการบาสไต้หวัน! เปิดตัวเกิร์ลกรุ๊ป Formosa $exy พร้อมตารางเชียร์ 6 นัดรวดเขมร ยอมมาโต๊ะเจรจาที่จันทบุรี หลังไทยดัดหลัง "ไม่ย้ายประเทศ"AI วิเคราะห์เลขท้าย 2 ตัว งวดวันที่ 2 มกราคม 69..โดยใช้สถิติย้อนหลัง 20 ปี"พญาบึ้ง" จ.อ่างทอง คัดเลขเด็ดเน้นๆ ลุ้นโชคงวด 2/1/69เปิดตัวว่าที่ดาวรุ่งดวงใหม่! “8MAN” เตรียมส่งอัญมณีเม็ดงามเขย่าวงการ A\/ ฤดูใบไม้ผลิ 2026ปิดตำนาน 10 ปี "น้องคะน้า หรือ โมโมโนกิ คานะ" อำลาวงการทั้งน้ำตาคลื่นลูกใหม่ไล่ลูกเก่า เมื่อ “อาซาฮิ ริโอะ” ต้องลาจากค่ายยักษ์ใหญ่ สู่เส้นทางนักแสดงอิสระทางบุญลุ้นทางรวย:พิธีเสกพระปิดตา ณ โบสถ์มหาอุด 1,000 ปี วัดป่าเลไลยก์
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
นักร้องเคป็อประดับตำนานเผย "ผมไม่ค่อยชอบเพลงฮิตอย่าง APT ของโรเซ่"Body Gratitude การกล่าวขอบคุณร่างกาย ที่ให้เราได้ใช้ร่างกายในการดำเนินชีวิต โดยไม่ได้จำกัดแค่ความงาม เพื่อลดการเปรียบเทียบกับผู้อื่น และ สุขภาพจิตที่ดีขึ้นเขมร ยอมมาโต๊ะเจรจาที่จันทบุรี หลังไทยดัดหลัง "ไม่ย้ายประเทศ"เลขเด็ด "มหาทักษา" งวดวันที่ 2 มกราคม 69 มาแล้ว!..ส่องด่วนเลย!
ตั้งกระทู้ใหม่