เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสดูรายการพิเศษทางทีวีช่อง France 2 ซึ่งเป็นรายการที่เเฉเรื่องราวของที่มาที่ไปของความอันตรายของปลาที่มีสารเคมีสะสมที่เป็นสาเหตุต่อการเกิดมะเร็ง (PCBs: Polychlorinated Biphenyls)
ส่วนตัวแล้วด้วยความเป็นคนไทยถูกปลูกฝังมาตลอดว่า กินปลาแล้วดี จะได้ฉลาด มีประโยชน์ต่อร่างกาย ฯลฯ จึงค่อนข้างชอบกินปลาเป็นพิเศษ เเถมยังคะยั้นคะยอให้ลูกสาวกินด้วย พอมาเจอมาเห็นข้อมูลที่รายการนำมาแฉให้เห็นจะๆแบบนี้ ก็เล่นเอาสยองเหมือนกัน ไม่รู้ว่า ตอนนี้มีสารก่อมะเร็งไปสะสมในร่างกายแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ (ฮา +เฮ้อ!!!!) ... เอาเถอะน่า... รู้ช้าก็ยังดีกว่าไม่รู้เลย??? .. ต่อไปก็คงต้องระวังเรื่องอาหารการกินให้มากขึ้น
ส่วนตัวก็ชอบดูรายการแฉแบบนี้เเละเห็นว่ารายการนี้มีประโยชน์ต่อเราผู้ซึ่งเป็นผู้บริโภคโดยตรง... เลยอยากนำมาเล่าต่ออย่างย่อเผื่อจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ยังไม่ทราบ... หากใครสนใจดูรายการนี้ สามารถหาดูได้ที่ ลิงค์นี้มีคุณchantal62940 นำสกู๊ปรายการนี้มาโหลดลงยูทูปให้ดูย้อนหลังได้ด้วย (เป็นรายการของประเทศฝรั่งเศสออกอากาศทางช่อง France 2 เมื่อวันที่ 07/11/2013 - นักข่าวใช้เวลาในการทำสกู๊ปนี้กว่า 5 เดือน )
รายการนี้ได้พาไปให้เห็นขั้นตอนการทำงานของฟาล์มปลาทั้งในเวียดนามและในนอร์เวย์ จุดสำคัญที่รายการต้องการแสดงให้เห็นคือ ทำไมปลาจึงมีสารพิษตกค้าง
รูปบน : ฟาล์มเลี้ยงปลาในเวียดนาม รูปล่าง : การใช้สารเคมีเพื่อป้องกันเเบคทีเรียในฟาล์ม
รายการแสดงให้เห็นถึงการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายในฟาร์มเลี้ยงปลาเเซลมอลในนอร์เวย์ ผู้ร่วมรายการบอกว่าปลาที่นี้เป็นปลาที่มีสารตกค้างเเละอันตรายมากที่สุดในโลก (นอร์เวย์ส่งออกปลาเเซลมอลเป็นอันดับ1).... เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ปลาแซลมอลที่เลี้ยงตามธรรมชาติมีค่าไขมันอยู่ที่ 5-7% เท่านั้นจึงดีต่อสุขภาพ แต่ไขมันในปลาแซลมอลเลี้ยงในฟาร์มมีค่าสูงถึง 15-34% ไขมันสูงมากจนน่ากลัวเพราะอาหารเม็ดที่ใช้เลี้ยงปลา ทำให้ปลาโตไวกว่าปกติถึง 2 เท่าตัว
ยิ่งไปกว่านั้นในฟาร์มเลี้ยงปลายังมีการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อเเบคทีเรียฉีดพ่นยาในฟาร์ม สารเคมีกระจายไปทั่วในฟาร์มปลา(นานวันขึ้นสารเคมี ก็ตกตะกอนสะสมสารพิษไว้ในบ่อเลี้ยง) ปลาถูกเลี้ยงในบ่อจึงได้รับพิษสะสมไปโดยปริยาย
รูปนี้เเสดงถึงการใช้สารเคมีในฟาร์มเลี้ยงปลาในนอร์เวย์ สังเกตให้ดีว่าคนพ่นยาใส่เสื้อผ้าอุปกรณ์ป้องกันตัวเองครบชุด
เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยในนอร์เวย์ได้ทำการทดสอบเพื่อเทียบว่าในอาหารชนิดไหนมีสารเคมีตกค้างมากสุด...
ปรากฎว่าผลที่ได้คือ ปลามีสารเคมีตกค้างนำโด่งจนน่ากลัว คิดแล้วมีสารเคมีมากกว่าอาหารชนิดอื่นๆถึง 5 เท่า!!!
เมื่อทำการทดลองต่อโดยให้หนูกินเนื้อสัตว์พบว่า..... หนูที่กินเเซลมอลมีปัญหาเรื่องความอ้วนเกินขนาด, เบาหวานเเละอัตราไขมันสูง
ช่วงหนึ่งของรายการ นักข่าวถามเจ้าหน้าที่ว่า คุณเลิกกินปลาเเล้วใช่ไหมตั้งเเต่ได้เห็นผลการทดลองชุดนี้? เค้าตอบว่า ใช่
กราฟเเสดงการตรวจสอบสารพิษในอาหารเเต่ละชนิด ขวาสุดคือปลาเเซลมอล (มีค่าสูงคิดเป็น 5เท่าของอาหารชนิดอื่นๆ)
รูปภาพผลการทดลองในหนู ด้านซ้ายคือหนูที่ทานเนื้อชนิดต่างๆทั้วไป รูปขวาคือหนูที่ทานปลา กรอบสีดำทีเเสดงในท้องหนูคือ ขนาดไขมัน
ต่อจากนั้น รายการได้พาไปโรงงานผลิตอาหารเม็ดในเดนมาร์ก โรงงานใช้ปลาชื่อว่า Eel Anguilla มาจาก Baltic Sea เป็นทะเลในเเถบสเเกนดิเนเวีย เป็นทะเลที่มีปัญหาเรื่องมลพิษมากที่สุดในโลก ปลาที่จับมาจากที่ Baltic Sea จึงเต็มไปด้วยสารพิษไม่สามารถนำมาบริโภคได้ เเต่โรงงานก็ยังนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นอาหารเม็ดเลี้ยงปลาเเทน...
พนักงานบอกว่า ที่ใช้ปลาชนิดนี้เพราะมีไขมันสูงและให้น้ำมันมาก
ในขั้นตอนการผลิตอาหารปลา จะมีขั้นตอนที่มีการเพิ่มสารเคมีเข้าไปด้วย (นักข่าวพยายามถามพนักงานในโรงงานว่าทำไมต้องใส่สารเคมีชนิดนี้ลงไป (สังเกตให้ดีว่าที่สารเคมีมีสัญลักษณ์ กากบาทเเสดงว่าเป็นสารเคมีอันตราย) พนักงานตอบกลับว่า ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไรแต่มันอยู่ในขั้นตอนการผลิตที่ต้องปฎิบัติตาม)
สรุปได้ว่า อาหารเม็ดที่ผลิตออกมาจึงเต็มไปด้วยสารพิษที่สะสมในตัวปลา Eel Anguilla เเละสารเคมีในขั้นตอนการผลิด
รูปบน : ปลา Eel Anguilla ที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารเม็ด รูปล่าง : สารเคมีที่ต้องเพิ่มเข้าไปในการผลิต
พอปลากินอาหารเม็ด สารพิษก็ไปสะสมในตัวปลา คนเอาปลามากิน คนก็รับสารเคมีเข้าไปสะสมพิษไว้ในร่างกาย นานวันเข้าก็กลายเป็นโรคต่างๆ เเละมะเร็ง
นักวิจัยในนอร์เวย์ได้ทำวิจัยและพบปัญหาเรื่องนี้แต่ไม่กล้าเผยเเพร่ผลการวิจัยต่อสู่สาธาณชน ถามว่าเพราะอะไร?? .... นักวิจัยไม่ยอมเปิดเผยถึงเหตุผลต่อหน้ากล้อง
แต่รายการบอกเป็นนัยๆว่า เพราะเรื่องปลาเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับนอร์เวย์ มีผลประโยชน์เรื่องปลาค้ำคออยู่ รัฐมนตรีหญิงในนอร์เวย์ (กรมประมง)รู้เรื่องสารพิษแต่ไม่ยอมพูดและหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องความอันตรายของปลาต่อสาธารณชน .....
นักข่าวได้ทำการขุดคุ้ยประวัติเเละเฉลยให้รู้ว่า รัฐมนตรีคนนี้ได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากการขายปลา เธอเเละญาติมีหุ้นในหลายโรงงาน .... หากบอกความจริงเรื่องปลาไปเเล้วธุรกิจก็จะได้รับผลกระทบ เธอจึงเลือกที่จะไม่พูดเเละขายต่อไป...ได้เงินเข้ากระเป๋าต่อไป.....
สภาพปลาที่ได้รับสารพิษเเล้วเกิดการเปลี่ยนเเปลงยีนส์เเละสภาพ จนกลายเป็นปลาปากอ้าตลอดเวลา-ไม่สามารถงับปากได้ เเต่ผู้บริโภคไม่เคยได้เห็นภาพเหล่านี้ เพราะปลาถูกตัดหัวออกก่อนนำมาขายตามร้านค้าต่างๆ
ตอนท้ายของรายการสรุปว่า ในสมัยก่อนเราได้มีการณรงค์ให้เด็กกินปลาเยอะๆ เพราะไขมันต่ำ ย่อยง่าย มีประโยชน์ต่อสมอง แต่ในสภาพปัญหาที่เห็นจากสกู๊ปที่รายการนี้นำมาเสนอทั้งหมด จึงขอแนะนำว่า ให้
- ทานปลาไม่เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์สำหรับบุคคลปกติ เเต่ถ้าเป็นปลาที่มีไขมันเยอะๆ (ความเสี่ยงจะสูง) ให้ทานแค่ 1ครั้งต่อสัปดาห์
- เด็กต่ำกว่า 3 ขวบและผู้สูงอายุ ควรทานปลาไม่เกิน 1 ครั้ง ต่อเดือน
รายการนี้ยังเเนะนำการเลือกทานปลา ว่าควรเลือกปลาที่มีไขมันน้อยและหลีกเลี่ยงการบริโภคปลาที่ตัวโตๆ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ปลาที่มีขนาดตัวโตๆมีสารพิษสะสมมากกว่าปลาตัวเล็กๆหลายตัวรวมกันที่น้ำหนัก 1 กิโลกรัมเท่ากัน
การบริโภคปลาที่เลี้ยงในฟาร์ม(เพื่อขายต่อ)จึงมีความเสี่ยงต่อการได้รับสารพิษสูงมาก ... ปัญหาคือ เราจะรู้ได้ไงว่าปลาที่เราซื้อนั้นมาจากไหน? เเละจะเชื่อถือฉลากที่กำกับมาได้มากน้อยเเค่ไหน? ... ปลาที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงเเค่ปลาสด ยังรวมไปถึงผลิตภัณฑ์อาหารชนิดต่างๆที่มีเนื้อปลาเป็นส่วนผสมด้วย
รูปเเสดงเศษชิ้นส่วนของปลาที่เหลือจากโรงงานหลังถูกตัดเนื้อออกเเล้ว เเละเศษปลาเหล่านี้ถูกขายถูกๆให้โรงงานอื่นไปทำผลิตภัณฑ์อาหารชนิดอื่นๆ
ส่วนหนึ่งของรายการได้พาไปโรงงานที่ทำผลิตภัณฑ์อาหารเเช่เเข็งที่มาจากปลา โรงงานใช้เศษชิ้นส่วนที่เหลือจากการตัดเนื้อปลาออกมาบดรวมกันโดยไม่เเยกส่วนว่า เป็นก้าง เป็นหัว เป็นหนัง หรือเเม้เเต่ชิ้นส่วนอื่นๆที่ต้องเเยกทิ้งก็เอามาบดใช้ .... !!!
ส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ที่ถูกตรวจสอบเเละพบว่า ฉลากที่กำกับบนกล่องไม่ตรงกับส่วนผสมจริง
ขอบคุณภาพประกอบจากยูทูป (ก๊อบรูปมาจากบางช่วงของรายการในยูทูป)เเละจากกูเกิ้ล
Merci beaucoup Mme Chantal pour partager cette information.