หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ข้าวแช่

โพสท์โดย ขนมปังขิง

 

ข้าวแช่” ไม่ใช่สำรับอาหารไทยแท้ แต่เป็นอาหารพื้นบ้านที่ชาวมอญนิยมทำขึ้นเพื่อสังเวยเทวดาในพิธีตรุษสงกรานต์ โดยประเพณีของคนมอญโบราณกล่าวไว้ว่า ในวันสงกรานต์จะต้องทำข้าวแช่ถวายพระสงฆ์ เพราะถือว่าเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่ทำถวาย ซึ่งข้าวแช่ คนมอญเรียกว่า “เปิงด้าจก์” แปลว่า “ข้าวน้ำ” (เปิง หมายถึงข้าว และ ด้าจก์ หมายถึงน้ำ) และด้วยเหตุที่คนมอญกับคนไทย มีการติดต่อแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกันมาอย่างยาวนาน ทำให้ข้าวแช่ได้เข้ามาสู่สำรับอาหารไทยได้อย่างกลมกลืน

ข้าวแช่เข้ามาในไทยในช่วงที่ชาวมอญแพ้สงครามและอพยพเข้ามาอยู่ใน ประเทศไทย พ.ศ. 2082 – 2300 บริเวณที่ราบลุ่มภาคกลาง อาทิ นนทบุรี เพชรบุรี ปทุมธานี

     รัชกาลที่ 3 โปรดให้จารึกตำนานธรรมกุบาลเกี่ยวกับข้าวแช่ไว้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ว่ามีเศรษฐีผู้หนึ่งทำการบวงสรวงขอบุตรธิดา จากรุกขเทวดาประจำพระไทรโดยการทำข้าวแช่มาถวายจึงเป็นที่มาของความเชื่อใน การทำข้าวแช่ขอพรจากเทวดาในเทศกาลสงกรานต์

 

 

ตำนานข้าวแช่

ประเพณีการทำข้าวแช่ของชาวมอญนั้นเกิดขึ้นมาจากตำนานวันสงกรานต์ มีหลักฐานที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้จารึกบนแผ่นศิลา ติดไว้ที่คอสองในศาลาล้อมพระมณฑปทิศเหนือจำนวน 7 แผ่น ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ความว่า
      มีเศรษฐีผู้หนึ่งแต่งงานมานานหลายปีแต่ไม่มีบุตร บ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุราซึ่งมีบุตร 2 
คนผิวเนื้อสีเหมือนทอง อยู่มาวันหนึ่งนักเลงสุราเข้าไปกล่าวคำหยาบคายต่อเศรษฐี 
 
     เศรษฐีจึงถามว่า "เหตุใดจึงมาหมิ่นประมาทต่อเราผู้มีสมบัติมาก
 
      นักเลงสุราตอบว่า " ถึงท่านมีสมบัติ ก็ไม่มีบุตร ตายแล้วสมบัติก็จะสูญเปล่า 
เรามีบุตรเห็นว่าประเสริฐกว่า
 
เศรษฐีได้ยินดังนั้นก็เกิดความทุกข์ใจเป็นอย่างมาก จึงจัดพิธีบวงสรวง พระอาทิตย์ พระจันทร์ 
ตั้งอธิษฐานขอบุตรเป็นเวลา 3 ปีก็ยังไม่สมปรารถนาจนมาถึงวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ 
พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีพาบริวารไปยังต้นไทรใหญ่ริมน้ำซึ่งเป็นที่อาศัยของเหล่านกทั้งปวง นำข้าวสารล้างน้ำ 7 ครั้งแล้วหุงขึ้นบูชาพระไทรประโคมพิณพาทย์ตั้งอธิษฐานขอบุตร 
 
พระไทรทราบความจึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ขอความเมตตาให้เศรษฐี พระอินทร์จึงให้ธรรมบาลเทวบุตรลงมาปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี เมื่อคลอดแล้วจึงให้ชื่อว่าธรรมบาลกุมาร
โดยเศรษฐีปลูกปราสาทเจ็ดชั้นให้ลูกอยู่ใต้ต้นไทรริมฝั่งน้ำนั่นเอง 
 
      กล่าวกันว่า เมื่อธรรมบาลเติบโตขึ้นก็เรียนรู้ภาษานก เรียนจบไตรเพท อายุเจ็ดขวบได้เป็นอาจารย์บอกมงคลการต่างๆ แก่มนุษย์ทั้งปวง ขณะนั้นโลกทั้งหลายนับถือท้าวมหาพรหม 
และกบิลพรหม ว่าเป็นผู้แสดงมงคลแก่มนุษย์ทั้งปวง 
เมื่อกบิลพรหมทราบจึงลงมาถามปัญหาธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ สัญญาไว้ว่าถ้าแก้ปัญหาได้จะตัดศีรษะบูชา ถ้าแก้ไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย 
 
      ปัญหานั้นคือ “ราศีของคนเรานั้นอยู่ที่ไหนในช่วงเวลา เช้า เที่ยง และค่ำ

ธรรมบาลกุมาร คิดอยู่ 7 วันก็ยังไม่ได้คำตอบ บังเอิญได้ยินนกอินทรี 2 สามีภรรยาคุยกันเลยได้คำตอบว่า เวลาเช้าราศีอยู่ที่หน้ามนุษย์จึงเอาน้ำล้างหน้า เวลาเที่ยงราศีอยู่ที่อกมนุษย์ทั้งหลายจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนค่ำราศีอยู่ที่เท้ามนุษย์ทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างเท้า 

 
สุดท้ายท้าวกบิลพรหมต้องยอมตัดศีรษะ อันเป็นจุดเริ่มต้นของนางสงกรานต์ ได้แก่ ธิดาทั้ง 7 
ของท้าวกบิลพรหม ต้องนำเอาพานมารับศีรษะเอาไว้ (เพราะถ้าตั้งไว้บนแผ่นดิน ไฟจะไหม้ทั่วโลก  ถ้าทิ้งขึ้นบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าทิ้งในมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง) 
เชิญประดิษฐานไว้ในมณฑปถ้ำคันธุรีเขาไกรลาศครบกำหนด 365 วันโลกสมมติว่าปีหนึ่งเป็นสงกรานต์ 
 
      ชาวมอญมีความเชื่อว่าหากได้กระทำพิธีเช่นว่านี้ บูชาต่อเทวดาในเทศกาลสงกรานต์แล้ว 
สามารถตั้งอธิษฐานจิตสิ่งใดๆ ย่อมได้ดังหวังเหมือนเศรษฐีขอบุตร 

 

 

ข้าวแช่เริ่มเข้ามาในวังโดยเจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่นที่มีเชื้อสายมอญซึ่งถวายงานในรัชกาลที่ 4 ได้ทำข้าวแช่ขึ้นโต๊ะเสวย มีการประดิดประดอย แกะสลักผักเครื่องแนมข้าวแช่ ทำเครื่องประกอบการรับประทานข้าวแช่เพิ่มขึ้น จึงพัฒนาเรียก ข้าวแช่ชาววัง

ดังคำประพันธ์ในสุนทรภู่ กวีเอกในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้ประพันธ์ไว้ว่า

ฤดูร้อนก่อนเก่าทำข้าวแช่ น่าชมแต่เครื่องกับสำรับฉัน
ช่างทำเป็นดอกจอก และดอกจันทน์ งามจนชั้นกระชายทำเหมือนจำปา
มะม่วงดิบหยิบดูจึ่งรู้จัก ช่างน่ารักทำเป็นเช่นมัจฉา

เนื้อความจาก “รำพันพิลาป” ของสุนทรภู่ รัตนกวีสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ได้กล่าวถึง “ข้าวแช่” ว่าเป็นของรับประทานในฤดูร้อนที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

 

รัชกาลที่ 4 โปรดเสวยข้าวแช่มาก เมื่อเสด็จไปประทับที่พระนครคีรี เพชรบุรีทรงถามหาข้าวแช่แต่ไม่มีใครทำเป็น ห้องเครื่องจึงรับชาวบ้านที่สนใจเข้ามาหัดทำแบบง่ายๆ ไม่ประดิดประดอยอย่างชาววัง ก็ได้ลูกกะปิ ปลายี่สนผัดหวาน ไชโป๊หวานมาเป็นเครื่องข้าวแช่ ส่วนหัวหอมยัดไส้พริกหยวกยัดไส้และผักนั้นไม่มี ว่ากันว่าผักก็มาเพิ่มสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเฉพาะมะม่วงดิบซึ่งโปรดมาก

 

นับแต่นั้นมาข้าวแช่เพชรบุรีก็โด่งดังขึ้นคู่กับของชาววัง ปัจจุบันนี้มีข้าวแช่อยู่ในท้องตลาด 4 แบบ คือ 1. แบบมอญดั้งเดิม 2.แบบเพชรบุรี 3.แบบชาววังเต็มยศ  และ 4.แบบตามวังเจ้านายที่รับจากวังหลวงมาดัดแปลงอีกที เช่น มีปลารำวงทอดกรอบ เนื้อเค็มฝอยเป็นของแกล้ม เป็นต้น

 

 

วิธีการทำข้าวแช่ 

 
             วิธีหุงและขัดเมล็ดข้าว  นำข้าวสารเก่าที่เมล็ดสวยข้าวเต็มเมล็ดอย่างดี  มาซาวน้ำจนสะอาด  ใช้ไฟแรงหุงจนสุก  หรืออาจตั้งน้ำในหม้อจนเดือดแล้วค่อยใส่ข้าวสารก็ได้  พอข้าวสุกโดยมีไตเล็กน้อยจึงเทลงในตะแกรง  แล้วแช่น้ำสะอาดในชามอ่างขนาดใหญ่  ใช้ฝ่ามือทั้ง 2 ข้าง ค่อย  ๆ  ยีขัดผิวนอกของเมล็ดข้าวที่ยุ่ยออกจนหมด  เหลือเพียงแกนในที่แข็งไว้ คอยเปลี่ยนน้ำในอ่างเรื่อยๆ จนเหลือเมล็ดข้าวเป็นเงา จากนั้นนำลงผึ่งในภาชนะซึ่งรองด้วยผ้าขาวบาง  หรืออาจนำไปนึ่งอีกครั้ง  เพื่อไม่ให้ข้าวบูดหรือเสียง่ายถ้าเก็บไว้นาน จากนั้นก็นำมาเก็บไว้ในที่เย็น


การเตรียมน้ำข้าวแช่


ในสมัยก่อนชาวบ้านเขาจะมีตุ่มน้ำฝนสำหรับดื่มประจำทุกบ้าน จะเป็นตุ่มดินที่เมื่อใส่น้ำฝนลงไปจะมีความเย็นเป็นธรรมชาติ ตักน้ำฝนนำมาแบ่งใส่ภาชนะที่สะอาด (ปัจจุบันการรองน้ำฝนไว้ในตุ่มไม่ค่อยนิยม เพราะกลัวมลพิษทางอากาศ จึงใช้น้ำสะอาดสำหรับดื่มแทนก็ได้) นำดอกมะลิมาลอยไว้ 1 คืน โดยจะใช้ดอกมะลิที่เก็บจากต้นตอนพลบค่ำ นำมาลอยไว้ในน้ำข้ามคืน แต่ก็จะมีสำหรับบางสูตรที่ลอยด้วยดอกกระดังงาลนไฟ บางสูตรก็ใช้วิธีอบเทียน แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนสิ่งที่ต้องการคือต้องการให้น้ำที่จะใส่ลงในข้าวแช่มีความหอมนั่นเอง 


เครื่องข้าวแช่


        -  กะปิทอด เครื่องปรุงประกอบด้วย  ตะไคร้  กระชาย  กะปิดี  น้ำตาลโตนด  ปลากุเลาเค็ม  หัวหอม  กระเทียม  รากผักชี  เมล็ดพริกไทย  นำส่วนผลมของเครื่องปรุงทั้งหมดโขลกหรือบดให้ละเอียด  แล้วนำเนื้อกุ้งสดโขลกผลมจนเข้ากันดี  จากนั้นปั้นเป็นก้อนกลมเล็ก  ๆ  ชุบไข่แล้วทอดลงในกระทะน้ำมันใช้ไฟกลาง  ๆ  ถ้าจะทำไว้ล่วงหน้าควรนึ่งให้สุกก่อน  เมื่อจะรับประทานจึงนำลงทอด


        -  ปลากระเบนผัดหวาน  นำปลากระเบนเค็มที่ตากแห้งต้มให้สุก  จากนั้นโขลกให้ฟูแล้วนำไปตากแดด  ยีให้เป็นฝอย  นำลงผัดในกระทะ  ตั้งไฟเคี่ยวน้ำตาลโตนดกับน้ำมันพืชจนเหนียวได้ที่  จึงใส่ปลากระเบนลงผัดให้เข้ากัน  ชิมรสให้กลมกล่อมมีรสหวานมากกว่าเค็ม


        -  ผักกาดเค็มผัดหวาน  เลือกผักกาดเค็มที่ไม่เค็มมากนัก  ล้างน้ำจนสะอาดดี  หั่นเป็นเส้นแล้วนำลงผัดในกระทะใช้ไฟกลาง  ๆ  เติมน้ำตาลโตนด  ชิมตามชอบ  รสหวานนำรสเค็มตาม  ผัดจนเหนียวได้ที่จนเส้นผักกาดเป็นมันจึงตักขึ้น  แต่งหน้าด้วยไข่ทอดโรยฝอย


        - เนื้อเค็มฝอย(หรือหมูฝอยก็ได้) ใช้เนื้อที่ไม่มีพังผืด และเป็นเส้นยาว นำมาย่างไฟพอสุก นำมาทุบให้เส้นเนื้อแยก นำกระทะมาตั้งไฟให้อ่อน เทเนื้อลงไปคั่ว ค่อยๆโรยน้ำมันลงไปที่ละน้อยจนเนื้อกรอบ จากนั้นใส่น้ำตาลทราย ผัดเคล้าให้เข้ากัน จนน้ำตาลละลายจับเส้นเนื้อจึงโรยด้วยหอมเจียว

 

 

หลายคนก็คงสงสัยว่า "ในเมื่อสมัยก่อนไม่มีตู้เย็น ไม่มีน้ำแข็ง แต่ทำไมน้ำข้าวแช่ถึงเย็นได้?"

คำตอบก็คือ "คนสมัยก่อนจะนำน้ำลอยดอกไม้ไปใส่ไว้ในหม้อดินแล้วค่อยตักมาใช้ หรือไม่ก็จัดข้าวแช่ใส่สำรับกระเบื้องเคลือบไปเลย วิธีนี้จะทำให้น้ำเย็นชื่นใจนั่นเองค่ะ"

 

 

ความยากลำบากในการทำข้าวแช่

 

1. ตอนหุงข้าวและขัดให้เมล็ดเสมอกัน สูตรชาววังก็ไม่ได้ทำกันง่าย ๆ  เพราะต้องเลือกสรรพันธุ์ข้าวสารที่ดีที่สุด นำไปซาวล้างถึง 7 ครั้งให้สะอาดบริสุทธิ์ จากนั้นจึงนำมาแช่กับน้ำเย็นลอยดอกไม้ให้กลิ่นหอม

2. ตอนปรุงเครื่องข้าวแช่ ของมอญแท้ๆจะมีไม่กี่อย่าง แต่พอเข้าวังก็จะมีลูกกะปิ (ทำเก็บไว้ได้นาน) หัวหอมแดงยัดไส้ลูกกะปิ พริกหยวกยัดไส้หมูสับคลุมด้วยไข่ทอดโรยเป็นตาข่าย หัวไชโป๊เค็มหั่นฝอยผัดกับน้ำตาลโตนดจนหวาน บางทีก็มีมะม่วงดิบฝอยผัดหวาน

3.น้ำแช่ข้าว ต้องให้หอมดอกมะลิ กระดังงา ชมนาด และต้องแช่ให้เย็น โบราณจะใส่คนโทดินแช่ไว้ สมัยหลังมีน้ำแข็งแล้วก็ใช้น้ำแข็งช่วย

4. ผักกินกับข้าวแช่มีกระชายสดจักเป็นดอกจำปี พริกสดจักแตงกวา มะม่วงดิบจักเป็นใบไม้ ต้นหอมจัก เมื่อกับข้าวแช่ส่วนใหญ่เป็นของทอด ก็ย่อมต้องมีผักที่ให้กลิ่นหอมและรสออกเปรี้ยวและขื่นนิดๆ ไว้ตัดรสชาติ

 

วิธีบริโภค เวลากินข้าวแช่ให้ตักข้าวสวยใส่ชาม รินน้ำหอมลงจนท่วม เติมน้ำแข็งเกล็ดหรือน้ำแข็งก้อน หรือจะใช้วิธีนำน้ำข้าวแช่ไปแช่ในตู้เย็นแล้วเวลากินค่อยนำออกมาก็ชื่นใจดี ตักกับข้าวใส่ปากกินก่อน แล้วตักข้าวและน้ำตาม 

 

 

 

ภาพประกอบจาก : อินเตอร์เน็ต

 

 

ซ้ำขออภัยค่ะ

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
ขนมปังขิง's profile


โพสท์โดย: ขนมปังขิง
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
20 VOTES (4/5 จาก 5 คน)
VOTED: พูดไปก็เท่านั้น, I AM THOR, A Saraphi CM, วายุบุตร
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
รวมภาพความฮา แบบสร้างสรรค์ ของคนเขมร กับ นักท่องเที่ยวกับรูปปั้นม้าน้ำอันโด่งดังในโลกโซเชียลตอนนี้iPhone รุ่นประหยัดมาแล้ว!สาว "เจี๊ยบ" ทำเนียนเดินรวมกับ นร.ญี่ปุ่น..ทำเอาหนุ่ม "บอย" ถึงกับแยกไม่ออกลูกค้าหนุ่มเศร้า หลังรีวิวชุดกีฬาที่ซื้อมา แต่ดันพลาดเห็นหนอนน้อยคนไข้วัย 72 ติดเชื้อโควิดนาน 613 วัน ก่อนกลายพันธุ์ในร่างกายกว่า 50 ครั้ง3 แมงป่องที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลกกทม.แนะนำ อย่าอยู่กลางแจ้งเด็ดขาด
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
FB เตรียมเพิ่มโหมดใหม่ ให้ข้อความใน IB หายไปได้ตามเวลาที่ตั้งไว้กทม.แนะนำ อย่าอยู่กลางแจ้งเด็ดขาดรวมภาพความฮา แบบสร้างสรรค์ ของคนเขมร กับ นักท่องเที่ยวกับรูปปั้นม้าน้ำอันโด่งดังในโลกโซเชียลตอนนี้แอบรักในรอยใจอันตราย! อย่าใช้ "พัดลมคล้องคอ"..เพราะอาจเสี่ยงเป็นมะเร็งได้
ตั้งกระทู้ใหม่