การเลี้ยงปลาสวยงามเบื้องต้น
การเลี้ยงปลาสวยงามเบื้องต้น
1. ตู้ปลา
ตู้ปลาเป็นอุปกรณ์อันดับแรกเลยที่ควรจะนึกถึงก่อน ตู้ปลาที่นิยมใช้กันในปัจจุบันมี 2 ชนิด
1.1 ตู้กระจกเป็นตู้ที่เป็นที่นิยมสูงของผู้เลี้ยงปลาเพราะหาซื้อง่าย ราคาถูก ทนต่อรอยขูดขีด แต่ตู้กระจกก็ยังมี
ข้อเสียอยู่ที่ หากแตกจะทำให้เกิดอันตรายได้ ถ้ากระจกหนาไปจะทำให้มองเห็นกระจกเป็น สีเขียวอ่อน ๆ ตู้กระจกมีน้ำหนักมากเมื่อขนาดใหญ่ขึ้น
1.2 ตู้อคริลิกเป็นตู้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมกัน แต่ส่วนใหญ่ที่ไม่เป็นที่นิยมกันเพราะตู้อคริลิกมีราคาแพงกว่าตู้กระจก
หลายเท่า ไม่ทนทานต่อการขูดขีด หากชำรุดยากต่อการซ่อมบำรุงและดูแลรักษา แต่ตู้อคริลิกมีความใสกว่า
กระจก รูปแบบมักจะสวยกว่าสามารถดัดตามรูปแบบที่ต้องการได้ น้ำหนักเบา ตู้ปลาส่วนมากจะมีความยาว
มากกว่าความสูงเพราะจะมีเนื้อที่ให้ปลาว่ายหรือเพิ่มมุมมองให้กับตู้ปลา
ขนาดตู้กระจกมาตรฐานที่มีจำหน่ายทั่วไป
กว้าง x ยาว x สูง ( นิ้ว ) |
ความหนาของกระจก(หุน) |
กว้าง x ยาว x สูง(นิ้ว ) |
ความหนาของกระจก(หุน) |
24 x12 x15 |
1.5 |
48 x20 x20 |
2 |
30 x16 x18 |
1.5 |
60 x18 x20 |
2 |
30 x18 x18 |
1.5 |
60 x20 x20 |
2 |
36 x16 x18 |
2 |
60 x24 x24 |
3 |
36 x18 x18 |
2 |
60 x24 x30 |
3 |
42 x16 x18 |
2 |
72 x24 x24 |
3 |
42 x18 x18 |
2 |
72 x24 x30 |
3 |
48 x16 x18 |
2 |
84 x24 x24 |
4 |
48 x18 x18 |
2 |
84 x24 x30 |
4 |
2. การจัดวางตู้ปลา
เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องนึกถึงเพราะถ้าวางในที่ตั้งที่ไม่ดีแล้วสิ่งมีชีวิตภายในตู้ปลาของเราอาจเกิดปัญหาได้
- ตั้งที่มุมสงบไม่พุกพล่าน ปลาจะเกิดอาการเครียด ตกใจง่าย ไม่กล้าออกมาว่ายน้ำ อาจเป็นสาเหตุโน้มนำให้ปลาที่
เลี้ยงป่วยได้
- ไม่เกะกะกีดขวางการทำงานอื่น ถ้าตู้ปลาได้รับการกระทบกระเทือนขณะมีน้ำอยู่อาจจะทำให้แตกและได้รับ
อันตรายได้ เพราะกระจกตู้มีภาระที่ต้องรองรับแรงดันของน้ำอยู่แล้ว
- แสงอาทิตย์ จะทำให้มีผลต่อการเกิดตะไคร่ จะทำให้ตู้ปลาที่เราเลี้ยงดูสกปรกแต่ถ้าอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงมากใน
รอบวันก็จะทำให้ปลาที่เราเลี้ยงไม่แข็งแรง อ่อนแอติดเชื้อโรคได้ง่าย
3. ความสะดวกในการดูแลรักษา
ความสะดวกในการดูแลรักษาเป็นผลมาจากการเลือกวางตู้ปลา หากวางตู้ปลาในที่เหมาะสมแล้การดปลี่ยนถ่ายน้ำควรใกล้แหล่งทิ้งน้ำเข้า หากเป็นไปไม่ได้ควรใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ มาช่วย เช่น สายยาง กระป๋องตักน้ำ ควรให้แหล่งทิ้งน้ำอยู่ต่ำกว่าตู้ปลาจะได้ง่ายต่อการถ่ายน้ำ
4.น้ำ
ส่วนมากการเลี้ยงปลามักจะใช้น้ำประปามาใส่ตู้ เพราะความสะดวกสบายของผู้เลี้ยงและไม่สามารถหาน้ำจากแหล่งอื่นได้ การจะนำน้ำประปาควรนำน้ำประปาที่รองทิ้งไว้ 1-2 วัน แล้วจึงนำมาใช้เพราะน้ำประปามีน้ำคลอรีนละลายอยู่แต่ความเป็นจริงแล้วน้อยคนที่จะทำเช่นนั้น ส่วนใหญ่ใช้น้ำประปาโดยตรงเลย ควรที่จะทิ้งไว้เสียก่อน และใช้สารเคมีกำจัดคลอรีน เช่น โซเดียมไทโอซัลเฟต ก่อนนำมาใช้
5. การให้อากาศและการหมุนเวียนน้ำ
ในตู้ปลาที่มีสิ่งมีชีวิตอย่างหนาแน่นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้อากาศลงไปในตุ้ปลา เพื่อปลาและสิ่งมีชีวิตอื่นได้หายใจด้วยการให้อากาศมี 2 วิธีด้วยกัน
- ใช้เครื่องให้อากาศใต้น้ำ (Air Pump) โดยผ่านท่อลมและมีตัวปล่อยอากาศใต้น้ำ เช่น หัวทราย
- ใช้เครื่องพ่นน้ำขนาดเล็ก โดยให้หลักการให้น้ำหมุนเวียนขึ้นมาสัมผัสอากาศ หรือในเครื่องพ่นน้ำบางรุ่นจะมีท่อ
สำหรับใส่สายลมเพื่อดูดอากาศเข้าไปผสมกับน้ำ แล้วพ่นออกมาเป็นการให้อากาศในตู้ปลาอีกวิธีหนึ่ง
6.แสงสว่าง
โดยทั่วไปการให้แสงสว่างกับตู้ปลามักจะใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์เป็นส่วนใหญ่ เพราะหาซื้อง่ายราคาถูก โดยที่จริงแล้วแสงจากหลอดไฟไม่มีผลโดยตรงต่อการอยู่รอดของปลา แต่เป็นเพียงเพิ่มความสว่างให้ตู้ปลา หลอดบางชนิดทำให้เห็นสีของปลาสวยกว่าสีจริงด้วย และยังทำให้ปลาไม่ตื่นตกใจง่ายถ้าเราให้แสงสว่างเป็นประจำ
7. อุปกรณ์กำจัดของเสีย
การกำจัดของเสียในตู้ปลาเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการเลี้ยงปลา เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเปลี่ยนน้ำให้ปลาทุกวัน แต่ปลาต้องกินต้องถ่ายทุกวันทำให้ของเสียมีปริมาณมากขึ้น ถ้าเราไม่กำจัดมันออก การกำจัดของเสียส่วนมากเราจะใช้ระบบกรองน้ำโดยทั่วไปมักจะเห็นกันอยู่มี 2 แบบ
- กรองใต้ทราย (Sub sand filter) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้หลักการให้น้ำผ่านใต้ทรายแล้ว น้ำจะพ่นออกทางท่อเหนือพื้น
ทรายสิ่งสกปรกก็จะติดอยู่ที่พื้นทราย จุลินทรีย์ในทรายก็จะย่อยสลายของเสีย
- การกรองแบบเปียก – แห้ง (Wet & dry filter) เป็นการกรองโดยใช้หลักการโปรยน้ำลงมาโดยมีวัสดุพื้นที่ผิวมาก
เป็นตัวรองรับ โดยผ่านตัวกรองหลาย ๆ ชนิด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การโปรยน้ำก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ ทำให้
เพิ่มอ๊อกซิเจนให้กับตู้ปลาของเรา และการที่น้ำผ่านวัสดุพ้นที่ผิวมากก็จะทำให้น้ำสัมผัสกับพื้นที่ยึดเกาะของ
จุลินทรีย์ที่ทำหน้าที่บำบัดคุณภาพน้ำ ทั้งจุลลินทรีย์ที่ใช้อ๊อกซิเจนและจุลินทรีย์ไม่ใช้อ๊อกซิเจนในการย่อยสลาย
ของเสีย วัสดุเหล่านี้มักพบเห็นทั่วไปเช่น ไบโอบอล ( Bioball ) กรวดปะการัง ฯลฯ
8. อุปกรณ์ตกแต่ง ประดับ
อุปกรณ์เหล่านี้จะเป็นตัวเพิ่มสีสันให้กับตู้ปลาไม่ว่าจะเป็นการเลียนแบบธรรมชาติ หรือที่เป็นจินตนาการของ
ผู้ประดิษฐ์เอง เช่น ก้อนหิน ขอนไม้ ปะการังเทียม ต้นไม้พลาสติก การตกแต่งตู้ปลาด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้นไม่ใช่ว่าเพียง
แค่ความสวยงาม แต่ยังมีประโยชน์ในแง่เป็นที่หลบของปลาอาณาเขตอีกด้วยไม่ควรนำอุปกรณ์ตกแต่งที่อาจจะเป็น
อันตรายต่อปลา เช่นวัสดุที่มีสีละลายน้ำ วัสดุที่เป็นสนิม
9. การจัดวางและการจัดตู้ปลา
เมื่อเราเลือกอุปกรณ์จัดตู้ปลาแล้วควรที่จะเลือกที่วางให้เหมาะสม คือ ของชิ้นเล็กควรไว้ข้างหน้าควรมีจุดเด่นในตู้ปลา ในตู้ปลาไม่ควรที่จะรกเกินไปจนปลามีที่ว่ายน้อยลง สะดวกต่อการนำสวิงลงไปตักปลา เมื่อต้องการนำปลาออกจากตู้
10. การเลือกชนิดของปลา
ควรศึกษาก่อนที่จะเลือกซื้อปลาว่าปลาแต่ละชนิดสามารถที่จะเลี้ยงรวมกันได้หรือไม่ กัดกันหรือเปล่าหรือปลาบางชนิดอาจกินปลาเล็กเป็นอาหาร ปลาแต่ละชนิดกินอะไรเป็นอาหาร เช่น
- ปลาที่สามารถอยู่รวมกันไม่กัดกัน เช่น ปลาทอง ปลาเทวดา ปลาหางไหม้ ปลากระดีมุก ฯลฯ
- ปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร เช่น ปลามังกร ปลาออสการ์ ปลาตองลาย ปลาเสือตอ ปลากระทิง ปลาชะโด ฯลฯ
11. อาหารปลาและการให้
อาหารที่สามารถนำมาให้ปลามีหลายชนิดขึ้นอยู่กับชนิดของปลาที่เราจะได้
- ถ้าเป็นอาหารสำเร็จรูปไม่ว่าจะอยู่ในรูปลอยน้ำ จมน้ำ เป็นแผ่น จะสะดวกในการเตรียมและให้แต่ควรระวังเรื่อง
คุณภาพน้ำ ถ้าอาหารเหลือจะทำให้เน่าได้ง่ายจึงควรให้แต่น้อยพอปลากินหมดไม่ควรให้เหลือ ถ้าเหลือควรตักเศษ
อาหารออกก่อนที่จะเน่า
- อาหารมีชีวิต เช่น ลูกน้ำ ไรทะเล ไรน้ำจืด ไส้เดือนน้ำ หนอนนก ลูกกบ ลูกปลา ฯลฯ อาหารเหล่านี้ปลาหลายชนิด
จะชอบกินมากกว่าอาหารสำเร็จรูปเพราะมีความสด คุณค่าทางอาหารสูงกว่าแต่อาหารมีชีวิตมักจะเป็นพาหะและมี
เชื้อโรคมาสู่ปลาที่เราเลี้ยง
- ก่อนที่เราจะให้อาหารมีชีวิตเหล่านี้ ควรทำความสะอาดก่อน เช่น ทำความสะอาด หนอนแดง ไรทะเล ไส้เดือนน้ำ
ด้วยฟอร์มาลีนเจือจาง ประมาณ 300 ppm. แล้วล้างน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้งจนมั่นว่าสะอาดก่อนนำมาให้ปลาที่
เลี้ยงกิน
12. โรคและการรักษา
การเลี้ยงปลาสวยงาม ผู้เลี้ยงควรเอาใจใส่เรื่องสุขภาพของปลาด้วย เมื่อเราเลี้ยงปลาไปนาน ๆ หรือได้ปลามาใหม่ ดูแลรักษาให้ปราศ พยาธิ และโรคติดต่อ โรคที่มักพบทั่วไปของปลาสวยงามเป็นประจำ เช่นโรคจุดขาว โรคเห็บระฆัง โรคเห็บปลา โรคหนอนสมอ โรคหมัดปลา เชื้อรา เมือกขุน โรคตัวด่าง โรคท้องบวม การป้องกันและรักษาโรคหลาย ๆ ชนิด ส่วนใหญ่มักจะรักษาคล้าย ๆ กันเช่น โรคจุดขาว โรคตกเลือด โรคหมัดปลา โรคเห็บระฆัง จะใช้ฟอร์มาลีน 20 – 25
ซีซีต่อน้ำ 1,000 ลิตร โรคเห็บปลา หนอนสมอ มักจะใช้ดิฟเทอแร็ก 0.5 – 0.75 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร ควรเปลี่ยนถ่าย
น้ำและใส่ยาใหม่ เพื่อให้เชื้อโรคหลุดและกำจัดออกจากตัวปลาเร็วยิ่งขึ้น