ทำไมสิงคโปร์ถึงห้ามเคี้ยวหมากฝรั่ง(ตอน2)
ในตอนที่ข้อห้ามเคี้ยวหมากฝรั่งออกบังคับใช้ นายลีเป็นายกรัฐมนตรีมาได้ 31 ปีแล้วและได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีอาวุโส ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีอิทธิพลในกุมบังเ...ยนอยู่เบื้องหลัง ตอนให้สัมภาษณ์นายปีเตอร์ เดย์ ผู้ดำเนินรายการบีบีซีเมื่อปี 2543 นายลีบอกว่า “สิงคโปร์ได้รับฉายาว่าเป็นรัฐพี่เลี้ยง แต่ผลที่ตามมาคือ ทำให้เรามีระเบียบทางสังคมที่ดีขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเมื่อ 30 ปีก่อน”...
ในตอนนั้น นายลีกำลังพยายามผลักดันโครงการสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ในเชิงธุรกิจ นายเดย์ถามไปว่า หมากฝรั่งที่ไปติดอยู่ตามทางเดินอาจเป็นสัญญาณว่าความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ได้เกิดขึ้นแล้ว
นายลีตอบว่า “การเอาหมากฝรั่งไปแปะไว้ที่ประตูรถไฟใต้ดินเพื่อว่าประตูจะได้เปิดไม่ออกนั้น ผมไม่เรียกว่าเป็นการสร้างสรรค์ ผมเรียกว่าเป็นพฤติกรรมแบบสร้างปัญหา และถ้าคุณคิดไม่ออก เพราะไม่ได้เคี้ยวหมากฝรั่ง ก็ลองกินกล้วยแทนก็แล้วกัน”
นายทอม เพลท นักเขียนชาวอเมริกันบอกว่า นายลีเชื่อว่ามีทางออกด้านโยบายสาธารณะสำหรับทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหมากฝรั่งตามทางเท้า หรือประตูรถไฟในระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ เขาเขียนว่านายลีตื่นขึ้นมาในตอนเช้าทุก ๆ เช้าพร้อมกับความคิดว่าเขาจะทำให้วันนี้ดีกว่าวันอื่น ๆ อย่างไร
ทุกวันนี้การเคี้ยวหมากฝรั่งไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายในสิงคโปร์ กฎหมายอนุญาตให้นำหมากฝรั่งเข้าประเทศได้ในจำนวนเล็กน้อยเพื่อการใช้ส่วนบุคคล
นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา หลังจากข้อตกลงเปิดเสรีทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสิงคโปร์ เภสัชกรและทันตแพทย์ได้ไฟเขียวให้จำหน่ายหมากฝรั่ง “เพื่อการบำบัด” ให้กับลูกค้าที่มีใบสั่งแพทย์ หมากฝรั่งที่ว่ารวมถึงหมากฝรั่งแบบมาตรฐานที่ไม่มีน้ำตาล แต่ยังคงมีโทษปรับหากคายทิ้งไม่เป็นที่เป็นทาง
ยูจีน ตัน รศ. ด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยสิงคโปร์ แมนเนจเมนท์ เล่าว่า “พวกเราเคยคุยกันตลก ๆ ว่าคนสิงคโปร์มองประเทศสิงคโปร์ว่าเป็น “เมืองแห่งการปรับ” เพราะมีการปรับเยอะแยะไปหมดในเรื่องที่เกี่ยวกับความประพฤติทางสังคมที่ไม่เหมาะสม
รศ. ตันบอกว่าทั้งที่มีการแก้ไขกฎหมายไปแล้วตั้งแต่เมื่อปี 2547 แต่จะเห็นว่าไม่ค่อยมีคนที่เคี้ยวหมากฝรั่งในสิงคโปร์ และทางเท้าดูมีระเบียบและสะอาดมากกว่าเมื่อไม่มีรอยหมากฝรั่งที่สกปรก
นายเพ่ย-ยี่ ยู นักศึกษาจากสิงคโปร์ในกรุงลอนดอน มองเห็นถึงประโยชน์ของการไม่มีหมากฝรั่ง เขาเล่าว่าตามห้องนั่งฟังเลคเชอร์และในห้องเรียนที่อังกฤษนั้นมีหมากฝรั่งแปะอยู่ใต้โต๊ะ เขาเองมีประสบการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก เพราะหมากฝรั่งพวกนั้นมาติดกับเสื้อหรือกางเกงของเขา ขณะที่ในสิงคโปร์ “เรามีสิ่งแวดล้อมที่สะอาดและต้องขอบคุณนายลี”