ตำนาน 7 นางฟ้า
7 นางฟ้า
คณะนางฟ้าผู้มีความงามเป็นเลิศแห่งสรวงสวรรค์ พวกนางเสมือนอัญมณีอันมีค่าแห่งสรวงสวรรค์ พวกนางคือ 7 นางฟ้า คือ เทพธิดา 7 พระองค์ ก็น่าจะคล้ายๆกับโป๊ยเซียน ซึ่งเป็นกลุ่มเซียนที่มีเซียน 8 องค์ 7 นางฟ้าเป็นเทพธิดาที่มีความงามมากเป็นพระราชธิดาแห่งเง็กเซียนฮ่องเต้เลยทีเดียว แต่เราต้องเข้าใจว่าเทพมิอาจจะมีรักโลภโกรธหลงได้ และ นางฟ้าทั้ง7นางก็มิได้กำเนิดมาแต่พระแม่แห่งสวรรค์ (ซีหวังหมู่) เพราะเทพมิอาจจะสัมผัสหรือมีสัมพันธ์ได้อย่างลึกซึ้งเหมือนมนุษย์อันมีกายเนื้อหยาบ
วันหนึ่งบุตรชายวัยรุ่นของขุนนางคนซื่อกำลังเล่นว่าวอยู่ในสวนดอกไม้ของตน ขณะเดียวกันบ่าวคนหนึ่งของขุนนางชั่วก็กำลังเล่นว่าวอยู่บนดาดฟ้าบ้าน บ่าวคนนั้นไม่ทันระวังตัวเกิดพลัดตกจากดาดฟ้าลงไปเบื้องล่างจนเสียชีวิต ขุนนางชั่วจึงถือโอกาสกล่าวโทษบุตรชายของขุนนางตงฉินว่า เป็นต้นเหตุทำให้บ่าวของเขาตาย โดยจะให้ลูกชายคนนี้ชดใช้ชีวิตด้วยการถูกฝังทั้งเป็นพร้อมกับศพบ่าวของเขา ขุนนางชั่วคนนี้เป็นผู้มีอำนาจอิทธิพลมาก ขุนนางตงฉินไม่อาจไปสู้รบปรบมืออะไรได้เพราะยุคนั้นขุนนางกังฉินเป็นที่โปรด ปรานของฮ่องเต้มากขุนนางคนซื่อได้รับความกดดันทางจิตใจเป็นอย่างมาก จึงกราบทูลลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิด แต่ระหว่างทางกลับบ้าน ขุนนางชั่วได้แอบอ้างราชโองการส่งคนไปจับเขาทั้งครอบครัว และเนรเทศเขากับภริยาไปอยู่ชายแดน เหลือแต่บุตรสาวที่ได้รับความปวดร้าวทางร่างกายและจิตใจอย่างแสนสาหัส หลังจากที่เธอถูกโบยตีจนกลายเป็นคนเกือบพิการระหกระเหินไปขอทานอยู่ข้างถนน ต่อมามีหญิงวัยกลางคนมาหลอกว่าจะรับไปเลี้ยง แต่กลับนำเธอไปขายเป็นคนใช้แก่หลานชาย (ลูกของพี่ชาย) ของขุนนางกังฉิน เด็กสาวอายุเพียงแค่ 12 - 13 ปี ต้องมาประสบชะตาชีวิตอันแสนเศร้าสลดน่าเวทนายิ่งนัก
กล่าวฝ่ายขุนนางกังฉินเนื่องจากไม่มีบุตรสืบสกุล เดิมทีตั้งใจจะเอาหลานชายคนนี้เป็นทายาทสืบสกุล ฝ่ายหลานชายก็วาดหวังว่าจะได้เป็นผู้สืบทอดมรดกของอา แต่ขุนนางกังฉินเกิดได้บุตรชายตอนชรา ทำให้ความหวังของหลานชายที่คิดจะเป็นผู้สืบทอดมรดกมีอันต้องพังพินาศลง เจ้าหลานชายรู้สึกผิดหวังมาก จึงวางแผนกับภรรยาว่า ในวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ ขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการฉลองเทศกาล จะขโมยทารกน้อยของท่านอานำไปทิ้งในที่ห่างไกล แต่แผนการณ์นี้ล่วงรู้ถึงคนใช้หญิงดังกล่าว เธอบังเกิดความเมตตาสงสาร วันนั้นเธอจึงแอบติดตามนายผู้หญิงไปในที่ทารกถูกทิ้ง แล้วอุ้มทารกน้อยพาหนีเข้าไปในป่าดงดิบ ขณะนั้นทางบ้านขุนนางกังฉิน เมื่อทราบว่าเด็กทารกหายไปพากันตกใจ รีบส่งคนออกค้นหา ภรรยาของหลานชายคนนั้นหวั่นเกรงว่าการกระทำของตนจะถูกเปิดเผย ขณะที่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี ก็พบว่าคนใช้ในบ้านคนหนึ่งหายไปในช่วงเวลาเดียวกัน จึงโยนความผิดเรื่องการลักพาตัวทารกให้คนใช้หญิง โดยกล่าวหาว่า เธอลักทารกและของมีค่าหนีไปจึงส่งคนไปตามจับ แท้จริงสองผัวเมียสงสัยว่า คนใช้หญิงอาจจะรู้แผนการณ์ลับของตน จึงได้หลบหนีไป เพราะฉะนั้นจึงต้องป้ายความผิดและปิดปากเธอ
กล่าวฝ่ายคนใช้หญิงอุ้มทารกน้อยหนีไปหลบซ่อนอยู่ในป่าดงดิบ ทุกวันหาวิธีเอาน้ำนมจากสุนัขป่าและน้ำจากน้ำพุมาเลี้ยงทารก ส่วนตนเองก็เก็บผักป่าผลไม้ป่ามาประทังชีวิต ดังนั้นหมู่คนที่ขุนนางกังฉินส่งไปค้นหาจึงไม่พบ
กล่าวถึงบุตรชายของขุนนางตงฉินที่ถูกขุนนางชั่วป้ายความผิดและนำไปฝังพร้อม กับคนใช้ของเขา เดชะบุญ สวรรค์คุ้มครองคนดี ระหว่างทางที่ไปส่งได้เกิดลมพายุพัดพาเอาหมู่คนที่ไปส่งตกเหวลึกเสียชีวิต หมด ส่วนบุตรชายของขุนนางตงฉินที่นอนอยู่ในโลง ด้วยความคุ้มครองแห่งพลังเทวะ แม้จะตกลงไปในเหวด้วย แต่ก็ปลอดภัยทุกอย่าง นี้คือฤทธานุภาพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยแท้ เด็กคนนี้ทราบดีถึงอำนาจอิทธิพลของขุนนางชั่วจึงไม่กล้ากลับบ้าน โดยไปปลูกกระท่อมอาศัยอยู่ในป่าดง ทุกวันจะเก็บพวกผลไม้ป่ามากินประทังชีวิต เด็กคนนี้ฉลาด เพราะเคยได้ยินว่าพืชหญ้าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติสามารถนำไปทำเป็นเครื่องยา ได้ ดังนั้นทุกวันจึงมักจะไปเก็บพวกพืชสมุนไพรไปแลกเป็นอาหารเล็กน้อย จากนายพรานหรือคนตัดฟืนที่เข้ามาในป่า เด็กน้อยที่น่าสงสารต้องระหกระเหินอยู่คนเดียวในป่า เมื่อคิดถึงพ่อแม่ทีไรอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ พูดแล้วก็น่าสงสาร เขาจึงเขียนรูปของพ่อกับแม่ไว้ที่ผนัง ทุกวันก็สวดคำที่มารดาเคยสอนไว้ว่า “นะโมพุทธ” โดยกราบและสวดคำนี้ เบื้องหน้ารูปที่เขียน ซึ่งแสดงถึงความรู้สึกกตัญญูอันบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา
วันหนึ่งขณะที่เขากำลังเก็บสมุนไพรอยู่ในป่า ทันใดก็เห็นสาวน้อยคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กทารกอยู่ในป่า จึงเข้าไปสอบถามได้ความว่า เธอเป็นบุตรสาวของขุนนางตงฉิน เธออ้างว่าพลัดพรากจากพ่อแม่ขณะชุลมุน แล้วระหกระเหินมาอยู่ที่นี่ เด็กชายสงสารจึงช่วยเธอทำงานต่าง ๆ และปลูกกระท่อมอยู่ใกล้กัน เธอมักจะเห็นเขาสวดคำที่แม่เคยสอนคือ “นะโมพุทธ” รู้สึกแปลกใจมาก ต่อมาก็เห็นรูปที่เขียนอยู่บนผนังหน้าตาเหมือนพ่อแม่มาก จึงถามถึงความเป็นมา จึงได้รู้ว่าเขาก็คือพี่ชายของเธอ คนทั้งสองยิ่งเล่ายิ่งเศร้าจนหักห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่ พวกนายพรานที่อยู่ในป่า ปกติเห็นแต่เด็กชายเพียงคนเดียวที่เก็บสมุนไพรอยู่ในป่า จู่ ๆ ก็มีเด็กสาวเพิ่มมาอีกคนหนึ่งต่างรู้สึกแปลกใจ ข่าวนี้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วจนรู้ถึงหูของขุนนางชั่ว จึงส่งทหารมาจับคนทั้งสองโดยตั้งข้อหาลักเด็กและลักทรัพย์ แล้วลงโทษด้วยวิธีแขวนคอ สองพี่น้องนึกถึงคำสอนของมารดาที่สอนว่า ไม่โกรธแค้นหรือแก่งแย่งกับใคร เมื่อต้องได้รับการลงโทษเช่นนี้ก็ไม่มีความหวาดกลัว โดยเฉพาะเด็กสาวยังระลึกถึงบุญคุณของหลานชายขุนนางชั่วที่รับเธอไว้ตอนที่ระเหเร่ร่อน เธอจึงยอมรับผิดว่าได้ลักทารกจริง ในขณะถูกลงโทษเขาทั้งสองต่างสวด “นะโมพุทธ” ตลอดเวลา ทันใดก็เกิดลมพายุพัดมาอย่างแรงจนเชือกแขวนคอขาดสะบั้น พลันทั้งสองก็บรรลุเซียนเป็นเทพบุตรเทพธิดา กายทิพย์สู่สรวงสวรรค์ ขุนนางชั่วและหลานชายเห็นสองพี่น้องขณะถูกลงโทษเกิดเหตุมหัศจรรย์เช่นนี้รู้สึกละอายใจบังเกิดสำนึก ขุนนางชั่วพยายามคิดประทุษร้ายต่อครอบครัวของขุนนางคนซื่อเพียงเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตน จิตใจเช่นนี้ช่างไร้มนุษยธรรมชั้นดี คนเรามีชีวิตอยู่ในโลกเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น ไฉนต้องไปโหดร้ายกับผู้อื่น? ส่วนหลานชายของขุนนางชั่วโยนความผิดให้คนใช้ คนใช้ที่น่าสงสารหลังจากถูกจับแล้วยังยอมรับผิดแทนเขา คนพาลชั่วร้ายพวกนี้ล้วนถูกจิตใจที่เห็นแก่ตัวครอบงำ ความเห็นแก่ตัวเป็นภัยร้ายของสังคม ความจริงคนเราควรต้องมีความเที่ยงธรรม จึงจะสามารถแสดงถึงความบริสุทธิ์แห่งจิตใจ มิเช่นนั้นเมื่อจิตญาณมืดมนสุดท้ายย่อมต้องถูกฟ้าดินลงโทษ คนชั่วสองคนนี้ถูกจิตใต้สำนึกกดดันอย่างหนัก จึงได้สร้างศาลาคุณธรรมขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ครอบครัวของขุนนางตงฉิน
จะกล่าวถึงอีกที่หนึ่งมีพี่น้องสองคน คนน้องเป็นลูกของแม่เลี้ยงซึ่งเป็นคนโหดร้าย โดยมักจะหาเหตุเพียงเล็กน้อยมาข่มเหงคนพี่ วันหนึ่งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย ก็โบยตีคนพี่จนมือขวาพิการ จึงอ้างเหตุนี้ไม่ให้เขาเรียนหนังสืออีกต่อไป โดยให้ทำงานมีหน้าที่คอยรับใช้น้องชาย ต่อมาคนน้องเตรียมเข้าเมืองหลวงไปเรียนเพิ่มเติมเพื่อไปสอบชิงตำแหน่งจอหงวน แม่เลี้ยงจึงเตรียมเงินไปจำนวนมาก โดยให้คนพี่เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแล ระหว่างทางคนน้องก็เอาแต่เที่ยวหอนางโลมหาความสุขสำราญไหนเลยจะมีใจดูหนังสือ ต่อมาก็ไปเที่ยวที่หอนางโลมในตำบลเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง หอนางโลมแห่งนั้นก็คือ สถานที่ทำงานของเด็กหญิงขายตนดังกล่าวข้างต้น เด็กหญิงได้ทราบเรื่องราวของสองพี่น้องโดยบังเอิญ เธอเห็นคนพี่มีนิสัยซื่อตรง เลยเกิดความเห็นใจว่า สองพี่น้องคนหนึ่งไม่มีเงินเรียนหนังสือ แต่อีกคนหนึ่งใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย ดูช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เธอจึงอาศัยตอนที่ทางบ้านของสองพี่น้องส่งเงินมา โดยแอบเอาเงินส่วนตัวให้คนพี่ โดยบอกว่าแม่เลี้ยงส่งเงินมาให้คนพี่เรียนหนังสือ คนพี่จึงมีโอกาสได้เรียนหนังสืออีก ส่วนคนน้องรู้จักแต่จะเที่ยวหาความสำราญจนละเลยการเรียน ยอมทำตนให้ตกต่ำโดยแท้ ไหนเลยยังจะสามารถไปร่วมสอบชิงจอหงวนได้อีก นี่คือผลแห่งความไม่รักดี ต่อมาเด็กหญิงที่ขายตนทำงาน อยู่ในหอครบกำหนดห้าปีเป็นอิสระแก่ตน จึงออกจากหอไปอยู่วัดใหญ่แห่งหนึ่ง โดยช่วยงานต่าง ๆ ภายในวัด อาจารย์แม่ชีที่ดูแลวัดเห็นเธอขยันและเฉลียวฉลาด จึงตั้งให้เธอเป็นเจ้าอาวาสดูแลทุกอย่างในวัด
วันหนึ่งมีคนมาแจ้งที่บ้านของสองพี่น้องว่า จอหงวนปีนี้ เป็นคนเขียนพู่กันมือซ้าย เนื่องจากมือขวาของคนพี่ถูกแม่เลี้ยงตีจนพิการ ดังนั้นจึงต้องใช้มือซ้ายเขียนหนังสือ แม่เลี้ยงคิดว่าลูกของตนสอบได้ตำแหน่งจอหงวน รู้สึกตื่นเต้นดีใจมากต่อมาเมื่อรู้ว่าเป็นชื่อของคนพี่ก็ตกใจ วันหนึ่งคนพี่ที่เป็นจอหงวนไปวัดที่เด็กสาวเป็นเจ้าอาวาสอยู่ เธอรู้ว่าจอหงวนใหม่ผู้นี้คือคนที่เธอเคยให้ความช่วยเหลือก็รู้สึกยินดีมาก แต่เกรงว่าต่อไปเมื่อเขารู้ความจริง อาจไปที่วัดหาทางตอบแทนบุญคุณก็ได้ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจออกจากวัดเพื่อไปบำเพ็ญเพียรตามป่าเขา
กล่าวถึงจอหงวนเมื่อกลับถึงบ้านก็รีบไปหาแม่เลี้ยง คุกเข่ากราบขอบคุณและกล่าวว่า ที่ตนสามารถสอบได้ตำแหน่งจอหงวน ล้วนเป็นเพราะแม่เลี้ยงเมตตาให้เงินเรียนหนังสือ ตอนนั้นแม่เลี้ยงละอายใจมากจึงได้ออกจากบ้านไป กล่าวถึงเด็กสาวรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะเป็นเจ้าอาวาสอยู่ในวัดอีกต่อไป ขณะที่เธอมุ่งหน้าเข้าป่าเพื่อบำเพ็ญเพียร ระหว่างทางได้พบหญิงชราคนหนึ่งหน้าตาเศร้าหมองกำลังเดินไปเดินมาอยู่ที่ถนน เด็กสาวเกรงว่านางอาจกระทำในสิ่งที่ ไม่คาดฝัน จึงเข้าไปสอบถาม ที่แท้หญิงคนนี้คือแม่เลี้ยงของ จอหงวน เนื่องจากไม่อาจสู้หน้าคน จึงคิดจะหาที่ฆ่าตัวตาย เด็กสาวพยายาม ปลอบโยนต่าง ๆ นา ๆ จนนางเลิกล้มความคิดที่จะฆ่าตัวตาย เด็กสาวมีความเมตตาสงสารจึงเอากวนอิมหยกที่ติดตัวตลอดเวลามอบให้หญิงชรา โดยคล้องคอให้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และด้วยน้ำใจอันดีงามของเธอสะท้านถึงฟ้าเบื้องบน ทันใดนั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมได้ปรากฏกายให้เธอเห็น พอเธอเห็นพระโพธิสัตว์เสด็จมาก็ดีใจสุดจะกล่าว พลันจิตวิญญาณก็ขึ้นไปหาพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ได้นำเธอสู่สรวงสวรรค์ทันที
วันหนึ่งได้เกิดอุทกภัย ทุกคนในบ้านถูกน้ำท่วมพัดพาไปคนละทิศละทาง เซียนเอ๋อถูกชาวประมงชราคนหนึ่งช่วยไว้และรับเธอเป็นบุตรบุญธรรม ต่อมาทุกครั้งที่พ่อบุญธรรมจับปลากลับมา มักพบว่าปลาหายไปหรือไม่ก็ขาดหายจำนวนมาก จึงสอบถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น? เธอร้องไห้ยอมรับว่าเป็นคน นำไปปล่อยและยังขอร้องพ่อบุญธรรมว่าต่อไปอย่าจับปลาอีกเลย เธอจะทำงานหาเลี้ยงพ่อเอง 2-3 ปีต่อมาชาวประมงอายุ 70 กว่าแล้ว วันหนึ่งที่หลังของพ่อบุญธรรมได้รับบาดเจ็บแผลเกิดอักเสบเป็นหนอง เนื่องจากทางบ้านยากจนไม่มีเงินหาหมอ เซียนเอ๋อนึกได้ว่าสมัยตนยังเป็นเด็กเล็ก ครั้งหนึ่งเคยบาดเจ็บเป็นแผลและขึ้นหนอง หลังจากมารดาใช้ปากดูดหนองที่แผล แล้วก็หายเป็นปกติ ครั้งนี้เธอจึงเลียนแบบมารดาโดยเอาปากดูดหนองและเลือดที่แผลของพ่อบุญธรรม แผลก็ค่อย ๆ หายเป็นปกติ คนใกล้เคียงที่เห็นต่างชื่นชมในความกตัญญูของเซียนเอ๋อ แต่พ่อบุญธรรมอายุมากแล้ว ร่างกายอ่อนแอมักจะนอนป่วยอยู่บนเตียง เซียนเอ๋อมักไปที่วัดกราบวิงวอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองพ่อบุญธรรม สุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอ ต่อมาพ่อบุญธรรมป่วยหนัก เธอต้องเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนั้นจึงได้แต่ไปที่หัวเรือจุดธูปบนบานต่อฟ้าเบื้องบน ปากก็ท่องว่า “นามอ กวนซื่ออินผูซา” ไม่หยุด ฉันใดก็เห็นพระโพธิสัตว์กวนอิมปรากฏอยู่บนขอบฟ้า เธอรีบวิ่งไปที่หัวเรือเพื่อกราบไหว้ ในช่วงจังหวะนั้นเท้าเกิดเหยียบพลาดตกลงไปในน้ำเสียชีวิต กายทิพย์ของเธอได้สู่สวรรค์บรรลุเป็นนางฟ้าทันที ศพของเธอถูกงมขึ้นมา แล้วนำไปฝังที่เชิงเขา เรื่องน่าอัศจรรย์ก็คือบริเวณที่ฝังศพโดยรอบมีดอกไม้สวยงาม และหอมเย็นงอกขึ้นเองมากมาย ทุกคนเรียกว่า “ดอกนางฟ้า” ชาวประมงชราจึงได้อาศัยดอกไม้สดนี้ขายยังชีพจนสิ้นอายุขัย
นางฟ้าองค์ที่ 5
นางฟ้าองค์ที่ 5 มีประวัติความเป็นมาน่าสงสารมาก บิดาของเธอเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนัก เธอเป็นลูกคนเดียวกำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก พอเธออายุ 7 ปีบิดาก็มีภรรยาใหม่ แม่เลี้ยงคนนี้เป็นฝ่ายมาก่อน ในบ้านของเธอมีคนให้ผู้ชายหนึ่งคนผู้หญิงหนึ่งคน บิดาของเธอคิดว่ามีภรรยาใหม่แล้ว ลูกสาวจะได้มีแม่เลี้ยงดูแลและมีคนดูแลบ้าน เวลาไปทำงานจะได้สบายใจ ไม่ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง แต่พอบิดาของเธอคล้อยหลังเท่านั้น แม่เลี้ยงของเธอก็ออกลายคบชู้กับคนใช้ชาย เพราะนางอดทนต่อความว้าเหว่ไม่ได้ ไม่สามารถควบคุมเพลิงราคะของตน โดยไม่คำนึงถึงความละอายใด ๆ การรับรู้ของนางกับคนใช้ชายประพฤติเป็นประจำจนเป็นเรื่องปกติ ครั้งหนึ่งการกระทำอันน่าบัดสีของคนทั้งสองถูกเด็กหญิงคนนี้พบเข้า ด้วยเกรงว่าเรื่องจะถูกเปิดเผย แม่เลี้ยงจึงใช้แผนอำมหิตจับเด็กหญิงคนนี้ตัดลิ้นทิ้ง ทำให้พูดไม่ได้ แล้วใช้ผ้าผูกตาทั้งสองข้างนำไปปล่อยทิ้งไว้บนเขาที่ห่างไกล ทำให้เธอไม่รู้หนทางกลับบ้าน เพื่อให้อดตายอยู่บนเขา ครั้นบิดาของเด็กหญิงกลับมาบ้านไม่พบลูกรักของตน ถามภรรยาก็ไม่ได้เรื่อง ทำให้บิดาของเธอเป็นห่วงมาก
กล่าวถึงเด็กหญิงผู้น่าสงสาร ถูกนำไปปล่อยไว้บนเขากลับบ้านไม่ถูก ได้แต่เก็บผลไม้ป่าและหญ้าอ่อนมากินประทังชีวิต ที่บนเขามีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง ปากถ้ำมีน้ำพุไหลตลอดเวลา วันหนึ่งเธอได้ยินเสียงระฆังดังมาแต่ไกล จึงเดินไปทางเสียงระฆังก็พบวัดแห่งหนึ่ง ในวัดมีคนมากมายกำลังสวดมนต์และยังเห็นมีคนสวดมนต์อยู่หน้าขันน้ำใหญ่ใบ หนึ่ง เธออยากหัดเหมือนเขาบ้าง แต่ไม่มีใครสอน ทั้งยังถูกตัดลิ้นพูดไม่ได้แล้วจะสวดมนต์อย่างไร ขณะนั้นเธอได้ยินเสียงร้องของแพะและแกะ เธอรู้สึกว่าเสียงสวดมนต์ของคนเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากแพะและแกะสักเท่าไร ดังนั้นจึงหัดสวดเสียง แบบนี้เบื้องหน้าน้ำพุที่ปากถ้ำโดยสวดอย่างต่อเนื่อง และด้วยพลังแห่งความศรัทธาของเธอ หลังจากผ่านการสวดมนต์น้ำพุก็สามารถรักษาโรคได้ ยามใดที่เธอรู้สึกไม่สบาย เพียงดื่มน้ำจากน้ำพุก็จะหายทันที
วันหนึ่งเธอเห็นข้าราชการผู้ใหญ่เดินนำหมู่คนมาแต่ไกลเพื่อมาวัดไหว้พระ พอเข้าไปดูใกล้ ๆ ที่แท้ข้าราชการผู้ใหญ่นี้ก็คือบิดาของเธอนั่นเอง ที่จริงนี่คือโอกาสอันดีที่พ่อลูกจะได้พบกัน แต่เธอเกรงว่าจะเป็นผลร้ายกับแม่เลี้ยง ดังนั้น จึงไม่เข้าไปพบบิดา รอจนบิดาไหว้พระเสร็จเธอจึงตามหลัง ไปห่าง ๆ เพื่อจะได้รู้เส้นทางกลับบ้าน และด้วยเกรงคนจะเห็น เธอจึงไปบ้านในตอนค่ำ มองฝ่าความมืดดูพ่อแม่ ตั้งแต่ เธอหายสาบสูญ บิดาของเธอได้แต่ตรอมใจน้ำตาตกในอยู่ในบ้าน ในวันที่ไปวัดไหว้พระพอกลับถึงบ้านเกิดไม่สบายขึ้นมาอย่างกะทันหัน นอนซมอยู่บนเตียง โดยมีแม่เลี้ยงของเธอ คอยป้อนน้ำป้อนข้าว เธอจึงกลับไปที่ถ้ำเอาน้ำพุมารักษาบิดา เมื่อเธอมาที่บ้านอีกครั้ง ก็เห็นแม่เลี้ยงเอาห่อยาพิษเทลงใน ชามน้ำวางอยู่ที่โต๊ะหน้าเตียงบิดา เธอเห็นเช่นนั้นรู้สึกสลดใจ ยกพิษชามนั้นดื่มเสียเอง แล้วเอาน้ำพุที่นำมาเทลงในชามแทน เพื่อช่วยบิดาของเธอ หลังจากดื่มยาพิษเข้าไปภายในท้องเกิดปั่นป่วน เธอรีบกลับขึ้นเขาดื่มน้ำพุแก้พิษจึงหายเป็นปกติ
กล่าวถึงบิดาของเธอเห็นบนโต๊ะมีน้ำอยู่ชามหนึ่ง คิดว่าเป็นยาที่ภรรยาเอามาให้จึงดื่มรวดเดียวหมดชาม พอน้ำพุตกถึงท้องความเจ็บไข้ก็หายทันที แม่เลี้ยงของเธอตื่นนอนเข้ามาดูอาการของสามี ในใจคิดว่าเขาคงตายแล้ว ที่ไหนได้สามีหน้าตากลับสดชื่น หายจากป่วยไข้ นางตกใจจนทรุดนั่งลงกับพื้นไข้จับทันที เด็กหญิงมาถึงบ้านเห็นบิดาหายจากป่วยไข้ แต่แม่เลี้ยงกลับไม่สบาย จึงรีบกลับไปบนเขาเอาน้ำพุมารักษาแม่เลี้ยง ตอนที่เธอเอาชามน้ำพุวางที่โต๊ะหน้าเตียงแม่เลี้ยงขณะเดินออกจากห้อง แม่เลี้ยงเหลือบมาเห็นเข้าก็รู้ว่าเป็นลูกเลี้ยงกลับมา ครั้นเห็นบนโต๊ะมีชามน้ำวางอยู่ คิดว่าเป็นยาพิษจึงนำไปเททิ้ง นางเข้าใจว่าคงเป็นคนใช้หญิงพาลูกเลี้ยงกลับมา จึงจับคนใช้หญิงมัดแล้วเฆี่ยนตีเพื่อบังคับให้ยอมรับผิด ตอนนั้นเพื่อช่วยคนใช้เด็กหญิงจึงออกมา และใช้มือทำท่าทางแสดงความหมายว่า น้ำชามนั้นเธอเป็นคนเอาไปวางเอง ถ้าคิดว่าเป็นยาพิษเธอก็คือผู้ใส่ เธอขอตายแต่ผู้เดียว โปรดอย่าไปโทษคนใช้ ขณะนั้นบิดาของเธอได้ยินเสียงเอะอะจึงออกมาจากห้อง พอเห็นบุตรสาวที่เขาคิดถึงอยู่ทุกวันก็รี่ เข้ามาอุ้มด้วยความดีใจ และถามเธอถึงสาเหตุที่ลิ้นขาดและหายสาบสูญ แต่เธอไม่กล้าชี้ว่าเป็นการกระทำของแม่เลี้ยง ครั้นทราบเรื่องแจ่มแจ้งจากปากของคนใช้หญิง แสนเจ็บแค้นชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้ยิ่งนัก จึงจับคนทั้งสองใส่เข้าไปในกรงหมูแล้วลากลงในสระ เพื่อถ่วงน้ำให้ตาย เด็กหญิงเห็นดังนั้นเกิดความเมตตาคิดจะช่วยพวกเขา ตัวเองจึงลงไปในสระก่อนเพื่อที่จะค้ำกรงไม่ให้จม ทว่าความคิดของเธอช่างไร้เดียงสาหรืออาจเป็นเพราะถึงเวลากลับสวรรค์แล้วก็ได้ พอเธอลงไปในสระ พลันกายทิพย์สู่สวรรค์ (จมน้ำตาย) ทันที ตอนนั้นเธอมีอายุเพียง 11 ปีเท่านั้น
ส่วนพ่อแม่หลังจากพลัดหลงกับเธอก็คิดถึงเธอมาก ในหมู่บ้านนั้นนักเลงเจ้าถิ่นมีหมูหายไปตัวหนึ่ง ได้กล่าวหาว่า พ่อของเธอขโมยเอาไปฆ่ากิน แม้พ่อของเธอจะโต้แย้งยังไง เจ้านักเลงคนนั้นก็ไม่ฟัง ดังนั้นจะฆ่าพ่อเธอด้วยการผ่าท้องแล้วนำศพไปทิ้งลงเหว ตอนนั้นแม่ของเธอยังไม่รู้ว่าพ่อของเธอหายไปไหน น่าสงสารนางที่สามีและลูกต่างหายสาบสูญต้องอยู่อย่างเดียวดาย นางได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งสามีและลูกจะต้องกลับมา นางจึงเข้าป่าตัดฟืนเพื่อมายังชีพ เข้าป่าทุกครั้งนางจะอธิษฐานขอให้พระโพธิสัตว์คุ้มครองสามีและลูกกลับมา เนื่องจากต้องกรำงานหนักทุกวัน ประกอบกับความตรอมใจ ทำให้ไม่มีเรียวแรงที่จะไปตัดฟืนในป่าอีก นางจึงไปอาศัยอยู่ในป่าเสียเลย ยามหิวก็เก็บใบไม้มากินประทังชีวิตโดยสาบานว่า หากหาสามีและลูกไม่พบจะไม่กลับบ้านอีก
กล่าวถึงสามีของนางถูกนักเลงเจ้าถิ่นทำร้าย ทิ้งศพอยู่กลางเหวยังมีลมหายใจอยู่ ตอนนั้นมีเสือเทวดามาคาบตัวเขาขึ้นไปบนดอย และช่วยหาสมุนไพรมารักษาโดยมีพระโพธิสัตว์ให้ความคุ้มครอง หลังจากนั้นสองวันก็ค่อย ๆ ได้สติ ได้แต่นอนร้องครวญคราง เสียงครวญครางได้ยินไปถึงหูภรรยาของเขา นางจึงเดินค้นหาตามทางที่มาของเสียง ในที่สุดก็ได้พบกับสามีและเสือเทวดายังได้นำเด็กหญิงมาอีกคน นางจึงประคองสามีและพาลูกสาวกลับบ้าน ตั้งแต่นั้นแม่ของเด็กหญิงก็เปลี่ยนอาชีพมาทอผ้าและปั่นด้าย นางเห็นว่าสามีบาดเจ็บลูกสาวร่างกายผ่ายผอมน่าสงสาร จึงเอาเงินจากการทอผ้าไปซื้อเนื้อสัตว์มาบำรุงร่างกาย แต่ลูกสาวบอกว่าตอนที่หาพ่อกับแม่เคยสาบานว่า จะถือศีลกินเจ ซึ่งนางก็ไม่ว่ากระไรที่ลูกสาวจะกินเจ เพื่อทดสอบการถือศีลกินเจของเธอว่าจิตใจมั่นคงหรือไม่ พระโพธิสัตว์จึงแปลงร่างเป็นเด็กหญิง ชวนเธอออกไปเล่นนอกบ้านระหว่างคุยกันทำเป็นเตือนเธอให้บำรุงร่างกายด้วยการ กินเนื้อสัตว์ แต่เธอบอกว่านอกจากไม่กินเนื้อสัตว์ แม้แต่ข้าวก็สามารถไม่กินได้ เพราะเคยอยู่ในป่าไม่ได้กินข้าวก็ไม่เห็นเป็นไร พระโพธิสัตว์เห็นว่าเธอมีใจมั่นคง จึงนำเธอขึ้นเขาสอนมรรควิธีการบำเพ็ญเพียรกระทั่งบรรลุมรรคผลละทิ้งสังขาร สู่เทวโลก
วันหนึ่งแม่ของเธอโดนกิ่งไม้ไผ่แทงถูกกระดูกสันหลังบาดเจ็บสาหัส เด็กกตัญญูคนนี้จึงเข้าไปในป่าถอนหญ้า เพื่อนำไปต้มให้แม่กิน ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งมาเตือนเธอว่า หญ้าชนิดนี้ไม่สามารถใช้รักษาแผล จะต้องใช้หญ้าพิเศษถึงจะรักษาได้ น่าสงสารเธอต้องเที่ยวหาหญ้าพิเศษทุกวัน แต่ก็หาไม่ได้อาการของมารดาก็ยิ่งทรุดหนักลง ทำให้เธอร้อนใจมาก
จะกล่าวถึงบุตรชายของขุนนางคนหนึ่ง เด็กคนนี้เป็นลูกกตัญญู อายุยังน้อยก็รู้จักเล่นตลกสร้างความบันเทิงแก่พ่อแม่ วันหนึ่งขณะที่ลูกกตัญญูคนนี้กำลังแสดงฉากลิงขึ้นต้นไม้ให้พ่อแม่ชม ทันใดก็มีเจ้าหน้าที่ทหารจำนวนมากมาจับผู้คนในบ้านเขาและปิดผนึกประตูบ้าน เขารู้ว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว จึงแอบดูอยู่บนต้นไม้อย่างเงียบ ๆ
ที่แท้บิดาของเขาถูกขุนนางกังฉินปรักปรำ ด้วยฮ่องเต้สมัยนั้นเอาแต่ฟังคำประจบสอพลอของพวกขุนนางใกล้ชิด เด็กคนนี้ได้แต่อยู่บนต้นไม้ดูคนในบ้านรวมทั้งพ่อแม่ถูกจับไปประหาร เหลือเขาเพียงคนเดียวที่ต้องระเหเร่ร่อนค่ำที่ไหนนอนที่นั่น ยังชีพด้วยการขอทาน
วันหนึ่งเขาเดินไปที่หน้าบ้านของคหบดีคนหนึ่ง วันนั้นบ้านของคหบดีกำลังมีงานเลี้ยงฉลองวันเกิด ที่หน้าบ้านมีเด็กขอทานมากหน้าหลายตา เด็กขอทานอื่นเมื่อได้อาหารก็กลับบ้าน เหลือแต่เด็กคนนี้ไม่ไปไหน บ้านคหบดีมีคนใช้หญิงคนหนึ่งชื่อหยินเหอ เธอเห็นเด็กคนนี้ยังอยู่หน้าบ้านรู้สึกแปลกใจ จึงไปบอกนายผู้หญิง นายผู้หญิงเห็นเป็นเด็กสงบเสงี่ยมไร้ที่พึ่งจึงรับอุปการะไว้ โดยให้ทำหน้าที่ต้อนวัวไปกินหญ้า
ครั้งหนึ่งนายผู้หญิงได้ลงโทษเฆี่ยนตีสาวใช้หยินเหอจนผิวหนังแตกเป็นแผล โดยไม่ได้ให้การรักษาแต่อย่างใด คนเลี้ยงวัวสำนึกในบุญคุณที่หยินเหอคอยเอาใจใส่ ปกติจะเรียกเธอว่าผู้มีคุณ ครั้งนี้เขาเห็นเธอถูกตีได้รับบาดเจ็บรู้สึกไม่สบายใจ ขณะที่เขาเลี้ยงวัวอยู่ที่ทุ่งหญ้าเห็นชายชราคนหนึ่งร่างกายสั่นเทิ้มทำท่าจะล้ม จึงรีบเข้าไปประคอง เนื่องจากไม่มีแรงจึงล้มลงไปด้วยกัน ชายชรากล่าวว่า “ลุงมีหญ้าวิเศษติดตัวมา เมื่อทาที่ขาลุง ลุงก็จะเดินได้” คนเลี้ยงวัวจึงทำตามชายชราบอก ก็ได้ผลจริง ๆ ชายชราเอาหญ้าพิเศษที่เหลือทั้งหมดมอบให้คนเลี้ยงวัว เขาจึงนำไปรักษาแผลให้สาวใช้ด้วยเป็นยาวิเศษทานิดเดียวแผลก็หายทันที
วันหนึ่งชายเลี้ยงวัวเห็นเด็กสาวหน้าตาเศร้าหมองคนหนึ่งเดินไปเดินมาจึงถาม ถึงสาเหตุ เด็กสาวบอกว่า “เนื่องจากแม่บาดเจ็บต้องการหญ้าพิเศษไปรักษาด่วน แต่ไม่รู้ว่าไปหาได้ที่ไหน?” เขาจึงเอาหญ้าวิเศษมอบให้เธอ เมื่อเธอได้หญ้าวิเศษดีใจมาก รีบนำกลับไปรักษามารดา ซึ่งพอทาแผลก็หายทันที เด็กสาวรู้สึกขอบคุณชายเลี้ยงวัว จึงนำเขาไปพบมารดา มารดาเธอเห็นชายเลี้ยงวัวหน้าตาซื่อ ๆ เป็นคนมีน้ำใจก็รู้สึกชอบ จึงให้คนทั้งสองแต่งงานกันที่กระท่อมนั้น
ความสุขแท้ย่อมมีอุปสรรค ในคืนที่ชายเลี้ยงวัวและหญิงทอผ้าแต่งงานกัน บังเอิญที่บ้านของคหบดีเกิดเหตุร้ายถูกโจรเข้าปล้นคหบดีถูกฆ่าตาย เรื่องรู้ถึงทางการ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเป็นคนไร้หัวคิด ทำคดีส่งเดช เนื่องจากคืนนั้นคนเลี้ยงวัวนำวัวไปเลี้ยงไกลบ้านแล้วไม่ได้กลับ จึงถูกป้ายความผิดว่าเป็นสายให้โจร และถูกทรมานจนต้องยอมรับผิด ยังดีที่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงถูกตัดสินเพียงแค่เนรเทศโทษไม่ถึงตาย เมื่อข่าวนี้รู้ถึงหญิงทอผ้า ทำให้เธอเศร้าโศกมากและตัดสินใจที่จะไปตามหาสามี หลังจากทราบสถานที่เนรเทศแล้ว แม้หนทางจะไกลแสนไกลก็ไม่ย่อท้อ เธอเร่งเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน ขณะที่เขาทั้งสองใกล้จะพบกันแต่ถูกแม่น้ำขวางกั้นไว้ไม่สามารถข้ามไปหากัน ได้แต่ร้องเรียกอยู่คนละฝั่งด้วยน้ำตานองหน้า ทั้งคู่เพิ่งแต่งงานไม่ทันเท่าไรก็ต้องมาพรากจากกัน มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ทันใดนั้นก็มีนกนางแอ่นฝูงใหญ่ฝูงหนึ่ง บินมาจากขอบฟ้า บินเกาะกลุ่มกันยาวเหยียดทอดเป็นสะพานอยู่เหนือแม่น้ำ คนทั้งสองจึงขึ้นสะพานนกนางแอ่นจากทั้งสองฝั่งวิ่งโผเข้าหากัน พลันทั้งคู่ก็สู่สวรรค์เป็นเทพบุตรเทพธิดา
คงจำกันได้ เรื่องของสาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงควาย ซึ่งสาวทอผ้า(จื่อหนี่)เป็น1ใน7นางฟ้าและเป็นนางฟ้าองค์ที่ 7น้องนุชสุดท้อง นั่นเอง แต่ขอบอกนะครับว่าการที่เทพธิดาองค์ที่7หรือสาวทอผ้าไปมีความรักกับมนุษย์นั่นก็คือ หนุ่มเลี้ยงควาย(หนิงหนาง) เรื่องนี้นะครับทำให้เทพธิดาอีก 6 นางที่บางองค์ไม่รู้อีโน่อีเหน่ด้วย ต้องโทษจำคุกสวรรค์เลยครับท่านช่างน่าสงสารเทพธิดาทั้ง 6 องค์ ครับ เพราะสวรรค์มักใช้ลงโทษระบบหมู่ลากแหไปด้วย ใน
เทวตำนาน ปกรณัมของจีน รวมถึงนิทานพื้นบ้านของจีน ยังมีเล่าขานว่า เทพมีความสัมผัสกับมนุษย์ซึ่งมิได้มีเพียงนางฟ้าจื่อหนี่เพียงองค์เดียว เช่น
นิทานเรื่องโคมวิเศษ ที่เจ้าแม่หัวซานผู้ซึ่งเป็นหลานสาวแห่งเง็กเซียนฮ่องเต้เกิดมีความรักกับมนุษย์เดินดิน และต้องโทษให้ถูกกักขังไว้ภายใต้เขาหัวซาน
อย่างนางพญางูขาวซึ่งบำเพ็ญจนเป็นเซียนปีศาจแล้ว พบรักกับมนุษย์แล้วถูกหลวงจีนฟาไห่จับขังไว้ใต้เจดีย์
รณีเดียวกันคือ นางพญาปลาคาร์พ พบรักกับมนุษย์ (มัจฉาปาฏิหาริย์) ถูกพระโพธิสัตว์มาปราบเพราะปีศาจกับมนุษย์มิสมควรที่จะอยู่ร่วมกันได้เป็นต้น
เซียนในคติของจีนมีหลายระดับ คือ
- เซียนมนุษย์ : มนุษย์ที่มีพลังอำนาจซึ่งได้มาจากบำเพ็ญพรต เช่้น พวกนักพรต แต่ยังไม่บรรลุเป็นเซียนที่แท้จริง
- เซียนปีศาจ : สัตว์เดรัจฉาที่บำเพ็ญภาวนาจึงสามารถแปลงร่างกายเป็นมนุษย์และมีพลังอำนาจอันเนื่องมาจากพลังทิพย์ที่ได้มาจากการบำเพ็ญเพียร
- เซียนเทพ : มนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาซึ่งบำเพ็ญเพียรและประกอบคุณงามความดีจนได้รับการแต่งตั้งจากเง็กเซียนฮ่องเต้ในสมุดบัญชีทำเนียบเซียนจะมีชีวิตรื่นรมย์ในสรวงสวรรค์