มเหสีที่ทรงโทมนัสที่สุดในประวัติศาสตร์
สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
หรือที่รู้จักกันในพระนาม พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา ทรงเป็นพระเจ้าลูกเธอองค์ที่ ๖0 ในรัชกาลที่ ๔ กับเจ้าจอมมารดาเปี่ยม เมื่อพระชนมายุ ๑๖ พรรษา รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับราชการสนองพระเดชพระคุณเป็นพระภรรยาเจ้า ทรงมีพระราชโอรสธิดารวม ๘ พระองค์ ได้แก่
๑. เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
๒. เจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์
๓. เจ้าฟ้าหญิงวิจิตรจิรประภา
๔. เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์
๕. เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร
๖. เจ้าฟ้าหญิงศิราภรณ์โสภณ
๗. สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
๘. เจ้าฟ้าหญิง (ยังไม่มีพระนาม)
นอกจากนี้ยังทรงรับอภิบาลพระเจ้าลูกเธอที่กำพร้าพระมารดาอีก ๔ พระองค์
๑. พระองค์เจ้าเยาวภาพงษ์สนิท
๒. พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์
๓.พระองค์เจ้าประภาพรรณพิไล
๔.พระองค์เจ้าวาปีบุษบากร
สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
แม้สมเด็จพระพันวัสสาจะทรงพระอิศริยยศสูงส่ง แต่ก็ทรงประสบกับความทุกข์ด้วยพระราชโอรสธิดาสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ได้แก่
พ.ศ. ๒๔๒๒ ทรงสูญเสีย เจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์ สิ้นพระชนม์ขณะมีพระชันษาเพียง ๒๑ วัน
พ.ศ. ๒๔๒๔ ทรงสูญเสีย เจ้าฟ้าหญิงวิจิตรจิรประภา สิ้นพระชนม์ขณะมีพระชันษาเพียง ๔ เดือน
พ.ศ. ๒๔๓๖ ทรงสูญเสีย เจ้าฟ้าหญิง (ยังไม่มีพระนาม) สิ้นพระชนม์ขณะมีพระชันษาเพียง ๓ วัน
พ.ศ. ๒๔๓๗ ทรงสูญเสีย เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ซึ่งขณะนั้นดำรงพระยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันด้วยโรคไข้รากสาดน้อย ขณะมีพระชันษาเพียง 15 พรรษา
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร
เล่ากันว่าสมเด็จพระพันวัสสาทรงล้มทั้งยืนในทันที สิ้นพระสติสมประดี ครั้นรู้สึกพระองค์ก็ทรงพระ กันแสงอย่างรุนแรง ทรงใช้พระกรข้อนพระอุระด้วยปริเทวนาการดังจะสวรรคตตามไป ไม่ทรงฟังคำปลอบประโลมใด ๆ ทรงโศกเศร้าจนไม่เสด็จกลับตำหนัก กั้นพระฉากบรรทมในที่ประดิษฐานพระบรมศพพระราชโอรส ไม่เสวยพระกระยาหาร จนทรงพระประชวรในที่สุด
พ.ศ. ๒๔๔๑ ทรงสูญเสีย เจ้าฟ้าหญิงศิราภรณ์โสภณ สิ้นพระชนม์ขณะมีพระชันษา ๙ พรรษา
พ.ศ. ๒๔๔๒ ทรงสูญเสีย เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัยกรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์สิ้นพระชนม์ขณะมีพระชันษา ๑๗ พรรษา
สมเด็จพระพันวัสสาทรงพระประชวรหนักถึงทรงพระดำเนินไม่ได้ ความสูญเสียที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ทรงโศกสลดและแทบจะทรงหมดกำลังพระทัย พระราชพิธีพระราชทางเพลิงศพจัดขึ้นต่อเนื่องกัน ณ พระเมรุมณฑป วัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) พระพันวัสสาทรงโศกเศร้าเกินจะห้ามพระทัย ไม่ได้เสด็จไปพระราชทานเพลิงทั้งสามพระองค์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสู่สวรรคาลัย สมเด็จพระพันวัสสาทรงล้มลงทรงพระกรรแสงยกใหญ่ ทรงพระประชวรพระวาโย (เป็นลม) มิได้พระสติ ข้าหลวงต้องเชิญขึ้นพระเก้าอี้ หามกลับตำหนักสวนหงส์
วังวินเซอร์หรือวังประทุมวัน
เป็นวังที่สร้างขึ้นโดยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เพื่อจะพระราชทานเป็นที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ วังแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณเขตประทุมวัน แต่ว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เสด็จสวรรคต โดยกะทันหันไปเสียก่อนจึงไม่ได้เสด็จมาประทับแต่อย่างใด พระองค์เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2437
พ.ศ. 2478 หลังจากพระราชวงศ์ถูกยึดอำนาจจากคณะราษฎร เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระราชวงศ์อยู่ในช่วงตกต่ำ หลวงศุภชลาศัย อธิบดีกรมพลศึกษา ในรัฐบาลของจอมพล ป พิบูลสงคราม มีแนวคิดที่จะหาพื้นที่ก่อสร้างกรีฑาสถานแห่งชาติขึ้น และได้พิจารณาว่าที่ดินบริเวณวังประทุมวันเหมาะแก่การสร้างที่สุด (ขณะนั้นบริเวณโดยรอบๆวังเป็นทุ่งนาว่างเปล่า) โดยให้คนนับร้อยชีวิตมารื้อถอนพระตำหนักรวมถึงสิ่งปลูกสร้างโดยรอบออกจากที่ดินแห่งนี้จนหมดสิ้น ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสนามศุภชลาศัย
เยื้องมาอีกฝั่งเป็นที่ตั้งของวังสระปทุม วังที่ประทับของ สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ผู้เป็นพระชนนี (แม่) ด้วยความอาลัยที่ต้องสูญเสียพระโอรสไป ดังนั้นวังวินเซอร์ก็เปรียบเสมือนเป็นอนุสรณ์ถึงลูกชาย มองไปไกล ๆ ได้เห็นยอดหลังคาวังก็ทำให้หายคิดถึงได้บ้าง แต่เมื่อรัฐยืนยันจะทำเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงทำได้เพียงประทับอยู่ที่เฉลียงวังสระปทุม ฟังเสียงคนทุบวังลูกอยู่ทุกวัน ด้วยหัวอกคนเป็นแม่ พระองค์ถึงกับทรงตรัสกับนางข้าหลวงผู้ใกล้ชิดว่า “ได้ยินเสียงเขาทุบวังลูกฉันทีไร มันเหมือนกับกำลังทุบใจฉันอย่างนั้น” น้ำเสียงของพระองค์สั่น น้ำพระเนตรคลอด้วยความอัดอั้นตันใจ เล่ากันว่าถ้าไม่จำเป็นพระองค์จะไม่เสด็จผ่านไปทางที่ดินผืนนั้นเลย
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร
ในพ.ศ. ๒๔๘๑ เจ้าพนักงานตำรวจเชิญ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ไปคุมขังไว้ที่สถานีตำรวจพระราชวัง ด้วยเหตุผลทางการเมือง (หลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว) พระพันวัสสาทรงต่อรองรับประกันด้วยพระราชทรัพย์ทั้งหมด เพื่อแลกกับอิสรภาพของพระโอรส เมื่อไม่สำเร็จทรงรับสั่งว่า “ทำไมรังแกกันอย่างนี้ มันจะเอาชีวิตฉัน เห็นได้เทียวว่ารังแกฉัน ลูกตายไม่น้อยใจช้ำใจเลย เพราะมีเรื่องหักได้ว่าเป็นธรรมดาโลก ครั้งนี้ทุกข์ที่สุดจะทุกข์แล้ว”
ขณะทรงพระสำราญ
ภายหลัง สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการแพทย์แล้ว เสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศไทยพร้อมสมเด็จพระราชชนนี (สมเด็จย่า) พระธิดาพระโอรส ทั้ง ๓ (พระพี่นางฯ รัชกาลที่ ๘ รัชกาลที่ ๙)
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
ความสุขในวังสระปทุมหมดไปอย่างรวดเร็วเมื่อ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงประชวร พระอาการทรุดหนัก สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าเสด็จฯ มาทอดพระเนตรพระอาการด้วยพระพักตร์สงบ แม้จะตกพระทัยมาก ประทับอยู่ใกล้พระแท่น สมเด็จพระบรมราชชนกพระเนตรปรอย ลืมพระเนตรขึ้นแล้วเสด็จสวรรคตในทันที พระพันวัสสาทรงคุกพระชนฆ์ลง ยื่นพระหัตถ์ไปทรงปิดพระเนตร แล้วซบพระพักตร์ลง
รัชกาลที่ ๘ สมเด็จพระพันวัสสา รัชกาลที่ ๙
ความโทมนัสแสนสาหัสที่เกิดขึ้นน่าจะจบลงเพียงแค่นั้น เพราะพระพันวัสสาทรงปีติปลาบปลื้มกับพระนัดดาทั้งสาม พระสุขภาพที่ทรุดโทรมก่อนหน้านี้ค่อยดีขึ้น ด้วยพระราชหฤทัยที่ชื่นบาน แต่.......
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดลฯ
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดลฯ เสด็จสวรรคต ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๙ ไม่มีผู้ใดกล้ากราบบังคมทูลให้ทรงทราบ ทรงรำลึกเสมอว่า “ทรงมีหลานชาย ๒ คน”
สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
วันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๙ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จสวรรคต ณ วังสระปทุม ด้วยอาการพระทัยวาย รวมพระชนมายุ ๙๓ พรรษา ๓ เดือน ๗ วัน จากรัชกาลที่ ๔ ถึง รัชกาลที่ ๙ รวม ๖ แผ่นดิน ทรงผ่านทั้งความสุข ความทุกข์โศกใหญ่หลวง แต่ก็ทรงศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้จนบังเกิดพระขันติธรรม นำให้เข้าพระทัยในธรรมดาแห่งชีวิต
เล่ากันมาว่าทรงอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูปว่า “ขอให้ลืม ลืมให้หมด อย่าให้มีความจำอะไรเลย จำอะไรขึ้นมา ก็ล้วนแต่ความทุกข์ทั้งนั้น”
ที่มา: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=31758