คำตอบต่อฝ่ายตรงข้ามกับอิสลาม เรื่อง มุสลิมทำสงครามเพื่อขยายและเผยแผ่ศาสนาอิสลามจริงหรือ?
คำตอบต่อฝ่ายตรงข้ามกับอิสลาม เรื่อง มุสลิมทำสงครามเพื่อขยายและเผยแผ่ศาสนาอิสลามจริงหรือ?
ฝ่ายตรงข้ามกับอิสลามวิจารณ์ว่า อิสลามอาศัยกองกำลังทางทหาร เพื่อประกันความก้าวหน้าของตนเอง อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นว่าท่านศาสดาไม่เคยเริ่มต้นเป็นศัตรูกับกลุ่มหรือบุคคลใดก่อน ไม่ว่าจะเป็นยิว กุเรชหรือไบแซนไทน์...
ประวัติศาสตร์ทั้งหมดเป็นพยานได้ว่า สิ่งที่ท่านศาสนทูตแห่งพระผู้เป็นเจ้าผู้สูงส่งยิ่งกระทำ คือธรรมชาติของการป้องกันตนเอง นั่นคือเป้าหมายเพื่อตอบโต้การโจมตีของศัตรู ยกเว้นบางกรณีที่มุสลิมเชื่อมั่นว่า ศัตรูจะยังคงมีความก้าวร้าวและการทรยศอยู่ หรือได้รับการสั่งการในลักษณะที่คล้ายกันเพื่อเริ่มการป้องกันตัวเอง
โองการจากคัมภีร์อัลกุรานต่อไปนี้ กล่าวถึงเหตุผลเริ่มต้นสำหรับการดิ้นรนต่อสู้ในหนทางของอิสลามที่ถูกต้องตาม กฏข้อบัญญัติ นั่นคือการตอบโต้การโจมตีของศัตรูที่รุกราน ได้ถูกวางออกมาอย่างชัดเจนว่า นักรบอิสลามได้รับอนุญาตให้ต่อสู้กับศัตรูของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาได้รับความทุกข์ทรมานจากน้ำมือของศัตรู พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยเหลือพวกเขา เพราะพวกเขาคือกลุ่มคนที่ถูกขับไล่ออกจากบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง โดยปราศจากเหตุผล และสิ่งนี้คืออาชญากรรม พวกเขากล่าวว่า
"อัลลอฮฺคือพระเจ้าของเราเท่านั้น" (บทที่ 22 โองการที่ 40)
"และพวกเจ้าจงต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺ ต่อบรรดาผู้ที่ทำร้ายพวกเจ้า และจงอย่างรุกราน แท้จริงอัลลอฮฺไม่ชอบบรรดาผู้รุกราน" (บทที่ 2 โองการที่ 190)
" และหากพวกเขาทำลายคำมั่นสัญญาของพวกเขา หลังจากที่พวกเขาได้ทำสัญญาไว้ และใส่ร้ายในศาสนาของพวกเจ้าแล้วไซร้ ก็จงต่อสู้กับบรรดาผู้นำแห่งการปฏิเสธศรัทธาเถิด แท้จริงพวกเขาหาได้มีคำมั่นสัญญาใดๆ ไม่สำหรับพวกเขา ทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะหยุดยั้ง" (บทที่ 9 โองกรที่ 12)
บรรดามุสลิมได้รับการติดอาวุธตั้งแต่รุ่งอรุณแห่งอิสลาม หรือเมื่อบรรดาผู้ตั้งภาคีเริ่มหันมาขับไล่อิสลามและมุสลิมที่เริ่มทำสงคราม เพื่อแผ่ขยายและเผยแผ่ศาสนาของพระผู้เป็นเจ้ากระนั้นหรือ? ทุกคนรู้ดีว่าในช่วงเริ่มต้นนั้น มุสลิมเองตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิด จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะโจมตีกลุ่มหรือชาติใดทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น หากมีการทึกทักว่ามุสลิมในยุคเริ่มแรก เข้ารับอิสลามโดยปราศจากความเข้าใจในความสัตย์จริงของอิสลาม แต่คนรุ่นต่อมาก็มิถูกบังคับให้ต้องปฏิบัติตามพวกเขา นั่นเป็นความลึกซึ้งของคำสอนแห่งพระผู้เป็นเจ้า ที่ดึงเอาความศรัทธาของพวกเขาออกมา ด้วยความรัก ด้วยความสมัครใจ และการเลือกที่เสรี
หากเราทึกทักเอาว่า อิสลามออกกฏมาเพื่อบังคับขู่เข็ญพวกเรา ผลที่ติดตามมาของการสมมุติฐานจะกลายเป็นว่า ตราบใดที่อิสลามยังแข็งแกร่ง การเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องกระทำ อย่างไรก็ตามเราจะเห็นว่า อิสลามให้ทงาเลือกแก่มนุษย์ว่าจะยอมรับอิสลาม หรือเพียงแต่ยินยอมอยู่ภายใต้การปกครองของอิสลาม ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาศาสนาเดิมของตนเอาไว้ หากอิสลามไม่ให้เกียรติต่อเสรีภาพทางความคิด ก็ไม่อาจเป็นไปได้ที่จะได้รับการจัดเตรียมอีกเป็นครั้งที่สอง อิสลามไม่เคยหาประโยชน์จากสถานภาพความเข้มแข็งของตัวเอง เพื่อบังคับให้ผู้คนยอมรับศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า
นอกจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว ความศรัทธาและความเชื่อมั่นคือหัวใจหลัก สิ่งเหล่านี้ไม่มีวันที่จะเป็นจริงขึ้นมาได้ หากปราศจากความโน้มเอียงที่บริสุทธิ์ด้านในของมนุษย์ การบังคับและขู่เข็ญ การแนะนำสั่งสอน การอนุมานและตรรกะถูกถามหา เพือเปลี่ยนความเชื่อและแนวคิดของผู้คน การบังคับและขู่เข็ญไม่สามารถขจัดความเชื่อที่หยั่งรากลึกลงในจิตใจของผุ้คน ได้
ดังนั้น อิสลามจึงไม่ใช่ศาสนาแห่งความรุนแรงและสงคราม และศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าก็ได้แสวงหาวิธีการที่จะกำราบศัตรูในสมรภูมิ ด้วยวิธีการที่เป็นประโยชน์สำหรับมุสลิมที่ถูกพวกตั้งภาคีในเมืองมักกะฮฺข่ม เหงและทรมาน สำหรับอาชญากรที่ยอมรับอิสลาม คำสั่งสอนของพระผู้เป็นเจ้าที่มองความไว้วางใจให้กับภารกิจของการปลดปล่อย ผู้ถูกกดขี่ จากการยึดกุมของทรราชที่โหดร้าย และการทำความสะอาดบริเวณโดยรอบจากความเป็นทาสและการครอบงำ ดังนั้น การพึ่งกองกำลังทหารจึงเป็นเหตุผลที่จะทำให้ประชาคมอิสลามที่เพิ่งเกิดใหม่ สามารถเจริญเติบโตและพัฒนาได้อย่างเสรีและต่อเนื่อง คัมภีร์อัลกุราน กล่าวว่า
" มีเหตุใดเกิดขึ้นแก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ? ที่พวกเจ้าไม่สู้รบในทางของอัลลอฮฺ ทั้งๆ ที่บรรดาผู้อ่อนแอ ไม่ว่าชายหรือหญิงและเด็ก ต่างกล่าวว่า โอ้พระเจ้าของเรา โปรดนำพวกเราออกไปจากเมืองนี้ ซึ่งชาวเมืองเป็นผู้ข่มเหงรังแก และโปรดให้มีขึ้นแก่พวกเราซึ่งผู้คุ้มครองคนหนึ่งจากพระองค์ และโปรดให้มีขึ้นแก่พวกเราซึ่งผู้ช่วยเหลือคนหนึ่งจากที่พระองค์" (บทที่ 4 โองการที่ 75)