” ยาปฏิชีวนะ ” ยาอันตราย..ห้ามซื้อกินเอง
เพื่อนๆหลายคนคงคิดกันว่า ถ้าเรามีอาการเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ ก็สามารถไปซื้อยามาทานเองได้ เพราะสะดวกและง่ายดี แต่แท้จริงแล้วหากเราใช้ยาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์และไม่มีผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ เภสัชกร คอยดูแลให้ ยาที่เราซื้อมากินเองนั้น ก็สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้เช่นกันค่ะ เช่น แพ้ยา ดื้อยา หรือร้ายแรงสุด คือ เสียชีวิต
องค์การเภสัชกรรม ได้ออกเตือนให้คนไทย ที่ชอบนิยมซื้อยาปฏิชีวนะมาทานเอง และซื้อมากินบ่อยจะเกินความจำเป็น ซึ่งอาจจะทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการดื้อยาสูง และแพ้ยาจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มยาปฏิชีวนะเข้าสู่ร่างกายโดยเปล่าประโยชน์ด้วยค่ะ แล้วโรคที่เป็นอยู่ก็ไม่หายด้วย ซึ่งองค์การเภสัชกรรมแนะนำว่า ต้องทานยาอย่างถูกวิธี ต่อเนื่องจนครบและซึ้อยาจากร้านที่มีเภสัชประจำร้านดูแล และสามารถให้คำแนะนำการใช้ยาได้เท่านั้น
เกสัชกรหญิง นิภาพร ชาตะวิริยะพันธ์ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เผยว่า จากผลการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ประชาชนชาวไทยนิยมซื้อยามาทานกันเอง ถึงร้อยละ 15 ของผู้ป่วยทั้งหมด โดยกินยาปฏิชีวนะมากถึง 20% ของยาทั้งหมด และการใช้ยาปฏิชีวนะของคนไทยในปัจจุบันนี้พบว่า นิยมซื้อยามาทานเองจากร้านขายยาใกล้บ้าน เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงการไปพบแพทย์ และผู้ป่วยเองก็สามารถหาซื้อยาปฏิชีวนะได้โดยง่าย ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติยาได้กำหนดไว้ว่า ยาปฏิชีวนะถือเป็นยาอันตรายที่จะจำหน่ายได้เฉพาะในร้านขายยาแผนปัจจุบันภายใต้การควบคุมของเภสัชกรและเป็นผู้จ่ายยาให้เท่านั้น
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ทราบถึงความจำเป็นในการใช้ยา หรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ยาอย่างไม่ถูกต้อง อาจเป็นเพราะไม่ได้รับคำแนะนำหรือการซักถามอาการเบื้องต้นจากเภสัชประจำร้านยา เนื่องจากไม่มีเภสัชกรประจำร้านในขณะที่ซื้อยาหรือไม่มีเภสัชกรประจำร้านยานั้นๆ อยู่เลย
รองผู้อำนวยการ กล่าวต่อไปว่า ถ้าผู้ป่วยทานยาไม่ถูกต้องหรือไม่ครบตามขนาดและจำนวนที่กำหนด จะส่งผลทำให้มีเชื้อแบคทีเรียหลงเหลืออยู่และเพิ่มจำนวนขึ้นจนกลับมาเป็นใหม่ได้ค่ะ และจะส่งผลให้เชื้อดื้อยา จนทำให้ต้องกินยาที่มีความแรงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายอาจจะไม่มียาชนิดใดฆ่าหรือต้านเชื้อได้ในที่สุด และที่อันตรายที่สุดของยาปฏิชีวนะคือการแพ้ยา **จากประสบการณ์ของตัวเอม อาการแพ้ยาที่พบในผู้ป่วยบางคน อาจมีอาการใจสั่น แน่นหน้าอก หายใจติดขัด บางรายอาจเกิดผื่นแพ้ที่ผิวหนังถึงขึ้นรุนแรงหรือที่เรียกว่า สตีเว้น จอนสัน ซินโดรม (Stevens-Johnson Syndrome) ซึ่งถ้าส่งแพทย์ทำการรักษาไม่ทันอาจอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ
ยาปฏิชีวนะเป็นที่ใช้ยับยั้ง ฆ่า และหรือต้านทานเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่หลายกลุ่มด้วยกัน อาทิ ยากลุ่มเพนิซิลลิน ยากลุ่มอะมิโนไกลโคไซด์ เตตราไซคลีน หรือ ยากลุ่มซัลฟา เป็นต้น หลักสำคัญของการใช้ยาปฏิชีวนะ คือ ต้องมีการคัดกรองประวัติการแพ้ยาของผู้ป่วย และต้องเลือกใช้ยาให้เหมาะสม ตรงกับชนิดของโรคที่จะรักษา เช่น กรณีที่ป่วยเป็นไข้หวัด มีอาการปวดหัว ตัวร้อน น้ำมูกไหล และเจ็บคอ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักคิดว่าคออักเสบติดเชื้อ แล้วไปหาซื้อยาแก้อักเสบมาทานเอง แต่การทานยาแก้อักเสบนี้กลับเป็นการเพิ่มยาปฏิชีวนะเข้าสู่ร่างกายโดยเปล่าประโยชน์ เพราะการเจ็บคอจากไข้หวัดนั้นมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสไม่ใช่เชื้อแบคทีเรียอย่างที่สรรพคุณยาสามารถฆ่าเชื้อได้นั้นเองค่ะ ต่างจากอาการเจ็บคอที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย อาทิ โรคทอนซิลอักเสบเป็นหนอง มีเสมหะสีเขียวข้น ซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ
ดังนั้นหากเพื่อนๆคิดจะใช้ยาปฏิชีวนะ ทางที่ดีก็ควรจะปรึกษาแพทย์ ไม่ควรซื้อยามาทานเองอย่างพร่ำเพรื่อนะค่ะ ที่สำคัญถ้าจำเป็นจะต้องซื้อยาปฏิชีวนะทานเอง ก็ควรซื้อยาจากร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำร้านที่จะคอยให้คำแนะนำต่างๆกับเพื่อนๆได้ นอกจากนั้นเภสัชกรจะยังทำหน้าที่ช่วยคัดกรองผู้ป่วยในกรณีที่เห็นว่าไม่สามารถรักษาอาการเบื้องต้นได้ เภสัชกร จะส่งผู้ป่วยให้แพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป