หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

สัตว์ในเทพนิยายและตำนาน

โพสท์โดย salimz

สัตว์ในเทพนิยายและตำนาน 1

 

.::GRYPHON::.

    กริฟฟอน หรือ กริฟฟิน (griffin, gryphin, griffon หรือ gryphon) คือสัตว์ในเทพนิยายร่างกายเป็นครึ่งนกอินทรี ครึ่งสิงโต โดยส่วนหัว ขาคู่หน้าและปีก เป็นนกอินทรี ส่วนลำตัวและขาคู่หลังเป็นสิงโต และมีหางเป็นงู บางจำพวกก็มี หางของสิงโต ขนบนหลังเป็นสีดำ ขนที่อยู่ข้างหน้าเป็นสีแดง ส่วนขนปีกเป็นสีขาว อาศัยอยู่ในถ้ำตามภูเขา

      กริฟฟิน เป็น สัตว์ในเทพนิยาย ร่างกายเป็นครึ่งอินทรี ครึ่งสิงโต โดยส่วนหัวและปีกเป็นอินทรี ส่วนตัวเป็นสิงโต และมีหางเป็นงู บางจำพวกก็มีหางของสิงโต 

     ตามตำนานแล้ว กริฟฟิน เป็นสัตว์เทพผู้พิทักษ์เหมืองทองคำ(ตัวจึงออกสีทองเกือบทั้งตัว) และทรัพย์สมบัติทั้งหลายแหล่ที่เป็นทอง และเป็นผู้ลากรถม้าของพระอาทิตย์(อพอลโล) กรงเล็บแหลมคม ดุร้ายแต่เชื่องต่อเจ้าของ เรื่องพละกำลังและความไวก็ไม่เป็นสองรองใคร

กริฟฟินมี การสะกด 24 แบบผ่านหลายๆยุค คือ


     คือ gryffen, girphinne, greffon, grefyne, grephoun, griffen, griffin, griffion, griffon, griffoun(e), griffown, griffun, griffyn, grifon, grifyn, griphin, griphon, gryffin, gryffon, gryfon, gryfoun(e), gryphen, gryphin, และ gryphon

     แต่แบบที่เห็นได้บ่อยในปัจจุบันจะมี 4 แบบคือ griffin ,griffon ,grifon และ gryphon

 

 

     ตามตำนานกรีก กริฟฟิน เป็นสัตว์เทพผู้พิทักษ์เหมืองทองคำของดินแดนไฮเปอร์โบเรีย(ดินแดนในตำนานซึ่งอยู่ทางขั้วโลกเหนือ มีแสงอาทิตย์ และความอุดมสมบูรณ์ตลอดกาล), เป็นรูปจำแลงของเทพีเนเมซิส เทพแห่งความพยาบาท ซึ่งทำหน้าที่หมุนวงล้อแห่งโชคชะตา, นอกจากนี้ยังเป็นผู้ลากรถม้าของพระอาทิตย์ (เทพอพอลโล) อีกด้วย

     สายพันธุ์ใหญ่ของกริฟฟินจะ เป็นของ กริฟฟิน Raptopantthera และมีการผันแปรเป็นสองแบบคือ กริฟฟินเหนือ หรือกริฟฟิน Hyperborean และกริฟฟินอินเดีย กริฟฟินเหนืออยู่ในเขตป่าเป็นเนิน และภูเขา ทางตะวันออกเฉียวเหนือของยุโรป และรัซเซีย กริฟฟินอินเดียพบในดินแดนหุบเขา ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และตะวันออกกลาง รู้จักโดยลักษณะแมวของมัน ขัดแย้งกันขาหน้าลักษณะนกอินทรี

     กริฟฟิน สลักบนตราทรงกระบอกจากเมืองโบราณชื่อ Susa ในอิหร่าน มันเป็นรูปกริฟฟินธรรมดา และลงวันที่ไว้ประมาณ 5,000 ปีก่อนค.ศ. กริฟฟินรูปอื่นๆ พบในสุสานของอียิปต์ และตราทรงกระบอกของชาวเมโสโปเตเมียเพื่อใช้แทนลายมือชื่อในภาษาเขียนยุคแรก

 

 กริฟฟินใช้ในตราประจำตระกูลเป็นส่วนใหญ่ รูปแบบที่ไม่เหมือนใคร และลักษณะที่สูงส่งของมัน ทำให้มันสมบูรณ์แบบสำหรับตราประจำตระกูล กริฟฟินเพศเมียในตราประจำตระกูลมีปีก ในขณะที่เพศผู้เสริมพัดหนามงอกออกมาจากหัวไหล่ 
  


     กริฟฟินนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ และบางครั้งยังถือว่ากริฟฟินเป็นสัญลักษณ์ของความหยิ่งยโสอีกด้วย

 

     น ยุคแรก กริฟฟินถูกเปรียบเทียบให้เป็นเหมือนกับซาตาน ที่คอยล่อลวงวิญญานของมนุษย์ให้ติดกับ แต่ต่อมากริฟฟินก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของทั้งทวยเทพ และมนุษย์ สำหรับพระเยซู เพราะมันเป็นเจ้าแห่งพิภพและเวหา อีกทั้งมีรังสีแห่งแสง อาทิตย์ ศัตรูของกริฟฟินคือ บาซิลิสก์ ซึ่งเปรียบได้กับรูปจำลองของซาตาน

     ปัจจุบันสามารถพบเห็นกริฟฟินได้ทั่วไปจากงานศิลปะในหลาย ๆ วัฒนธรรม และพบได้ในตราประจำตระกูล รูปสัตว์ต่าง ๆ , ประติมากรรมเก่าแก่, โมเสกนูนต่ำ, นิทาน และในตำนานต่าง ๆ ทั่วโลก

(กริฟฟินที่ St Mark's Basilica เมืองเวนิช)

 

.::GOBLIN::.

    ก็อบลิน (Goblin) คือเป็นพวกโนมที่มีรูปร่างวิกลวิการ พวกมันชอบเล่นสนุก แต่บางครั้งก็ชั่วร้ายและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมสามารถทำอันตรายแก่ผู้คน รอยยิ้มของก็อบลินทำให้เลือดหยุดไหล เสียงหัวเราะทำให้นมบูดและผลไม้หล่น ก็อบลินมีต้นกำเนิดมาจากฝรั่งเศส

 

ก็อบลิน ( ตัวแสบในเทพนิยายตะวันออก)

     ในหนังสือ"สัตว์มหัศจรรย์ และถิ่นที่อยู่ "เขียนโดยนิวท์ สคามันเดอร์ บอกไว้ว่าในยุคแรก มีการจำแนกแบบหยาบๆไว้ว่า "สิ่งมีชีวิตที่ไม่ถือเป็นสัตว์แต่เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง คือพวกที่เดิน 2เท้า" แต่ปรากฏว่าพวกที่เดิน2เท้ามีมากมายเช่น พิกซี่ โทรลล์ ฯลฯ แต่พวกนี้ไม่มีสติปัญญาพอที่จะสื่อสารหรือเข้าใจภาษาพูดได้

     ดังนั้น ค.ศ.1811 โกรแนน สตัมป์ รัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์จึงบัญญัติว่า "สิ่งมีชีวิตชั้นสูง"คือ สิ่งมีชีวิตใดๆที่มีความเฉลียวฉลาดพอที่จะเข้าใจกฎหมายของโลกเวทมนตร์ และมีส่วนในการกำหนดตัวบทกฏหมายเหล่านั้นได้" ก็อบลินก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้นเช่นกัน และก็อบลินยังฉลาด มีความสามารถในการ ดูแลธนาคารกริงกอตส์ ถ้าไม่จัดให้เขาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง สถาบันการเงินของโลกเวทมนตร์มีอันต้องวุ่นแน่ๆ

     ก็อบลินไม่ใช่คนแล้วก็ไม่ใช่สัตว์ด้วย (ถึงไม่มีอยูในหนังสือสัตว์มหัศจรรย์ และถิ่นที่อยู่) แต่จัดเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง(ตามที่กระทรวงกำหนด)มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แคระ มีนิ้วมือ นิ้วเท้าที่ยาวมาก มีลักษณะนิสัยขี้เล่น แต่ดุร้ายบางครั้ง-หลายครั้ง เล่ห์เลี่ยมจัดจนเป็นอันตรายต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก

     รอยยิ้มของก็อบลินน่ากลัวจนอาจทำให้เลือดแข็งตัวได้ง่ายๆ เสียงหัวเราะของก็อบลินสามารถทำให้นมบูด และทำให้ผลไม้ที่ยังไม่สุกหลุดร่วงจากต้นได้ พวกมันชอบก่อกวนมนุษย์ด้วยวิธีมากมาย เช่นเอาของเล็กๆไปซ่อน คว่ำแก้วนม และแกล้งเปลี่ยนป้ายบอกตามทางเพื่อให้คนหลงทางเล่นๆ

      ชาวตะวันตกเชื่อว่า ก็อบลินมีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศฝรั่งเศส มักอาศัยอยู่ตามรอยแตกของหินในเทือกเขาปิเรเน่ และแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็วไปทั่วยุโรปพวกมันไม่สร้างที่พักอาศัยเป็น เรื่องเป็นราวแต่จะอยู่ตามซอกหินที่มีพืชชั้นต่ำจำพวกมอสส์ และตะไคร่น้ำ หรือไม่ก็อยู่ตามรากของไม้ยืนต้นที่มีอายุมาช้านาน และย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังมีที่มาทำงานที่ธนาคารกริงกอตส์

 

:.:DWARF:.:

คนแคระในแบบยุโรป  (European's Dwarf)

 

    คนแคระ (อังกฤษ: Dwarf) เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏในตำนานปรัมปราในกลุ่มประเทศเจอร์เมนิก (สแกนดิเนเวียและเยอรมัน) ปรากฏในเทพนิยาย นิยายแฟนตาซี และเกมอาร์พีจีจำนวนมาก มักมีพรสวรรค์อันวิเศษโดยเฉพาะด้านเกี่ยวกับการเหมืองและการโลหะ

 

     แนวคิดเริ่มแรกเกี่ยวกับกำเนิดตำนานของคนแคระไม่สามารถระบุได้แน่ชัด แหล่งกำเนิดที่ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่สามารถค้นพบคือใน ตำนานปรัมปราของเจอร์ เมนิกที่สืบทอดมาจากตำนานนอร์ส แต่กระนั้นก็หาหลักฐานได้ยากและมีรูปแบบหลากหลายมาก เรื่องราวที่ผิดเพี้ยนไปทำให้คนแคระดูน่าขบขันมากขึ้นและช่างเชื่อถือโชคลาง คนแคระมีลักษณะคล้ายมนุษย์ แต่เรื่องเล่าระบุถึงความสูงและชีวิตความเป็นอยู่แตกต่างกันไป บางเรื่องถึงกับบรรยายพวกเขาไปคล้ายกับพวกเอลฟ์ เมื่อพิจารณาจากแหล่งข้อมูลที่เก่าแก่ที่สุดและจากลักษณะตามธรรมชาติของคน แคระ เชื่อได้ว่าในยุคแรกๆ คนแคระมีความสูงพอกันกับมนุษย์นี้เอง บทบาทของพวกเขาในตำนานมักมีความผูกพันใกล้ชิดกับความตาย มีผิวกายซีด ผมสีเข้ม ชอบอยู่กับพื้นโลก มีประเพณีที่นิยมนับถือลัทธิภูตผี ซึ่งสอดคล้องกับความผูกพันกับความตาย บางครั้งมี ลักษณะคล้ายคลึงกับพวก 'Vættir' หรือจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ เช่นพวกเอลฟ์

     ตำนานปรัมปราเกี่ยวกับคนแคระที่พัฒนาการต่อมา มีข้อเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ พวกเขาดูน่าขบขันมากขึ้น มีความลึกลับมากขึ้น คนแคระเริ่มมีรูปร่างเตี้ยลงและน่าเกลียดมากขึ้นตามภาพลักษณ์ในยุคใหม่ รวมถึงภาพการใช้ชีวิตใต้พื้นดินของพวกเขาก็โดดเด่นยิ่งขึ้น คนแคระเป็นสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ที่มีทักษะด้านการโลหะอย่างวิเศษ มีชื่อเสียงในการสร้างของวิเศษในตำนานมากมาย แนวคิดเกี่ยวกับคนแคระในตำนานนอร์สยุคหลังมีความแตกต่างจากตำนานดั้งเดิมมาก คนแคระในแนวคิดใหม่นี้ไปปรากฏในเทพนิยายและนิทานพื้นบ้านในยุคหลังมากขึ้น (ดูเพิ่มเติมใน นิทานพื้นบ้านเยอรมัน และนิทานพื้นบ้านดัตช์) พวกเขา กลายเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งมีเวทมนตร์ ไม่สามารถมองเห็นได้ เป็นเจ้าแห่งมนตร์มายา คำสาป และคำล่อลวง

     แฟนตาซีและวรรณกรรมยุคใหม่ช่วยกันถักทอความเจ้าเล่ห์แสนกลให้กับเหล่าคนแคระ เพิ่มเติมไปยิ่งกว่าคนแคระดั้งเดิม คนแคระในยุคใหม่ จึงมีลักษณะเฉพาะตัวคือ มีร่างกายเตี้ยแคระ ผมและขนดกหนา มีความสามารถในการทำเหมืองและการช่างโลหะอย่างพิเศษอย่างไรก็ดี วรรณกรรมยุคใหม่ยังบรรยายภาพของคนแคระที่แตกต่างกันออกไปอีกตาม แต่ตำนานและประวัติศาสตร์ของแต่ละท้องถิ่น วรรณกรรมแฟนตาซีหลายเรื่องประดิษฐ์คิดค้นอำนาจหรือภาพลักษณ์ของคนแคระขึ้น ใหม่ ทำให้ "คนแคระ" ในตำนานยุคใหม่ไม่อาจมีคำจำกัดความที่ชัดเจนได้

     แต่แนวคิดเรื่องคนแคระมีร่างเตี้ยดูจะเป็นประเด็นที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง มากที่สุด และคำว่า "คนแคระ" (dwarf) ก็ถูกนำมาใช้บรรยายถึงมนุษย์ร่างเตี้ยโดยทั่วไปไม่ว่าจะมีอำนาจเวทมนตร์หรือ ไม่ ดังนั้นคำจำกัดความสากลในยุคใหม่สำหรับคำว่า คนแคระ จึงหมายถึงสิ่งมีชีวิตร่างเตี้ย มีความเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ อยู่ในวรรณกรรมแฟนตาซีและเทพนิยาย

     คนแคระ ในตำนาน เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมือนคนตัวเล็กๆ อันนี้ต้องบอกก่อนว่า คำว่าตัวเล็กในที่นี้คือ ตัวเตี้ยกว่ามนุษย์ถึง1/2เท่า บางตำนานก็กล่าวเช่นนั้น แต่บางตำนานก็บอกว่าเล็กจริงๆนะ ทั้งขนาดตัวและความสูงด้วย แต่อย่านำไปปะปนกับศัพย์ที่ใช้ทางชีววิทยานะ 

      Dwarf นี้ จะมีอายุยืนยาว ดังนั้นในบางตำนานถึงเกือบทุกตำนาน จะเห็นเป็นภาพคนเตี้ยอ้วนป้อม หนวดเครายาวเฟิ้มหน้าตาแก่ๆหน่อย ถิ่นที่อยู่อาศัยที่ชอบก็ได้แก่ในถ้ำต่างๆ หรืออุโมงค์ใต้ดิน [บางตำนานว่าคล้ายๆกับว่าเป็นเนินดิน แล้วขุดเข้าไปอยู่ในนั้นน่ะ มองไปก็เหมือนเป็นเนินหญ้าที่มีปล่องไฟยื่นออกมาน่ารักดี] บางตำนานก็กล่าวว่าอยู่ในต้นไม้กลวงๆ 

     Dwarf มีนิสัยอยางหนึ่งที่พบได้ในตำนานทั่วไปคือ เป็นผู้ที่ชื่นชอบและสะสมพวกของแร่ธาตุที่มีค่ามาก เช่นเพชรพลอย ทองคำ โลหะ เป็นต้น บางตำนานก็กล่าวว่าเป็นนักเหมืองแร่ตัวฉกาจ หรือนักประดิษฐ์ประดอยฝีมือเยี่ยม[ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ หรือเครื่องของประดับ แล้วแต่ตำนานนะคะ] และมีนิสัยที่กล้าหาญ บางครั้งก็ดุดัน มุทะลุ เป็นนักรบฝีมือดีเยี่ยม มีความอดทนสูง อาวุธที่มักพบคือขวาน หรือพลวง

 

คนแคระในแบบมิดเดิลเอิร์ธ (Middle Earth's Dwarf)

    คนแคระ ในจินตนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเล็กเตี้ย แต่ล่ำสันแข็งแรง ทรหดอดทน มีหนวดเครายาวเฟิ้ม เป็นชนเผ่าที่ชำนาญในการช่างมากที่สุด พวกเขาเป็นมิตรอย่างมากกับพวกฮอบบิท พวกคนแคระเรียกตัวเองว่า คาซัด อันเป็นชื่อที่เทพอาวเลตั้งให้กับพวกเขา แต่พวกเอลฟ์เรียกพวกเขาว่า เนากริม ซึ่งมีความหมายว่า ชนผู้ไม่เติบโตอีกต่อไป

     คนแคระมีบทบาทอยู่ในวรรณกรรมของโทลคีนหลายเรื่อง ได้แก่ เดอะฮอบบิท เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซิลมาริลลิออน ตำนานบุตรแห่งฮูริน รวมถึงงานเขียนอื่นๆ ของคริสโตเฟอร์ โทลคีนด้วย คือ Unfinished Tales และ ประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ

 

 

 

 

 ประวัติ

     ในจินตนิยายชุดมิดเดิลเอิร์ธของโทลคีน 'คนแคระ' เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ไม่ได้เกิดจากการสร้างสรรค์ของมหาเทพอิลูวาทาร์ แต่เกิดขึ้นจากการสร้างของวาลา นามว่า อาวเล ผู้เป็นเทพแห่งการช่าง เนื่อง จากไม่สามารถอดทนรอการมาถึงของเหล่าบุตรแห่งอิลูวาทาร์ได้ แต่ต่อมามหาเทพอิลูวาทาร์ก็รับเหล่าคนแคระเอาไว้เป็นบุตรบุญธรรม โดยมีข้อแม้ให้พวกเขาต้องนอนหลับอยู่ใต้ภูเขาก่อน จนกว่าบุตรผู้ใหญ่ของพระองค์ คือพวกเอลฟ์ จะตื่นขึ้นมาบนโลก

     อาวเล สร้างคนแคระขึ้นในยุคที่เมลคอร์กำลัง เรืองอำนาจ สร้างความวุ่นวายอยู่บนพิภพ ดังนั้นพระองค์ จึงสร้างให้คนแคระมีความทรหดอดทน ไม่ตกอยู่ในอำนาจชั่วร้ายโดยง่ายพวก คนแคระนับถือเทพอาวเลเป็นบิดาของตน และเชื่อกันว่า หลังจากสิ้นชีวิตไปแล้ว พวกเขาจะได้ไปอยู่ในท้องพระโรงของเทพอาวเล เพื่อคอยรับใช้พระองค์และร่วมในการรบครั้งสุดท้ายของอาร์ดา

    เหล่าคนแคระที่เทพอาวเลสร้างขึ้นเป็น ครั้งแรก มีจำนวนเจ็ดคน เรียกชื่อรวมกันในยุคต่อมาว่า บิดาของคนแคระ ในจำนวนนี้ ดูรินผู้อมตะ (Durin the Deathless) เป็นคนแคระที่มีอาวุโสสูงสุด ดูรินเป็นผู้ บุกเบิกก่อตั้งอาณาจักรคนแคระแห่งแรกบนโลก ที่คาซัดดูมมหานครใต้ขุน เขาฮิธายเกลียร์ เขาเป็นต้นตระกูลของคนแคระสายวงศ์ ลอง เบียร์ด (Longbeard)

     ต้นตระกูลคนแคระอีกสองคน เดินทางไปตั้งอาณาจักรของตนที่ทางตะวันตกของมิดเดิลเอิร์ธ โดยตั้งนครอยู่ในเทือกเขาเอเร็ดลูอิน พรมแดนตะวันออกของแผ่นดินเบเลริอันด์ ได้แก่ อาณาจักรโนกร็อด และเบเลกอสต์ เป็นต้นตระกูลของคนแคระในสายวงศ์ ไฟร์เบียร์ด (Firebeard) และ บรอด บีม (Broadbeam) ตามลำดับ ต้นตระกูลคนแคระอีก สี่คนที่เหลือ เดินทางไปตั้งอาณาจักรทางดินแดนตะวันออกไกลของมิดเดิลเอิร์ธ ไกลจนถึงเทือกเขาโอโรคาร์นิ คนแคระทั้งสี่นี้เป็นต้นตระกูลของคนแคระในสายวงศ์ ไอ รอนฟิสต์ (Ironfist), สติฟเบียร์ด (Stiffbeard), แบล็คล็อก (Blacklock) และ สโตนฟุต (Stonefoot) พลเมืองในสายวงศ์ เหล่านี้ไม่ได้ปรากฏบทบาทในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ


     ภาษาของคนแคระคือ คุซดุล (Khuzdul) เป็นภาษาที่พวกเขาใช้เจรจากันเองเป็นการภายใน และไม่ยอมสอนให้กับเผ่าพันธุ์อื่นได้เรียนรู้ โดยพวกเขายอมที่จะไปศึกษาภาษาของพวกเอลฟ์เสียเอง

(อักษรเคียร์ธ ซึ่งคนแคระใช้ในการเขียนภาษาคุซดุล)

 


       คนแคระถนัดใช้ขวานเป็นอาวุธมากที่สุด แต่ก็สามารถสร้างอาวุธชั้นดีอื่นๆ ได้เป็นจำนวนมาก พวกเขานิยมตั้งอาณาจักรอยู่ใต้ภูเขา จึงไม่สามารถทำการเกษตรได้ อาหารของพวกเขาได้มาจากการทำการค้าแลกเปลี่ยนกับพวกเอลฟ์ ในยุคแรกคนแคระมีสัมพันธภาพอันดีกับพวกเอลฟ์ บุกเบิกทำการค้ากับพวกเอลฟ์มาตั้งแต่สมัยยุคที่หนึ่ง ได้สร้างอาวุธชั้นดีให้กับพวกเอลฟ์เป็นจำนวนมาก

     ***แต่ภายหลังเกิดเหตุขัดแย้งวิวาทกันด้วยอำนาจของดวงมณีซิ ลมาริลที่ประดับอยู่บนสร้อยพระศอเนากลาเมียร์ เกิดสงครามแย่งชิงซิลมาริลระหว่างคนแคระกับเอลฟ์แห่งอาณาจักรโดริอัธของ กษัตริย์ธิงโกล และกลายเป็นรอยด่างพร้อยระหว่างชาติพันธุ์ทั้งสองมาโดยตลอด

 เผ่าพันธุ์

     คนแคระแบ่งออกได้เป็นสามตระกูลใหญ่ คือ ลองเบียร์ด ไฟร์เบียร์ด และ บรอดบีม คนแคระในตระกูลลองเบียร์ด บางครั้งเรียกว่า พลเมืองของดูริน มีจำนวนมากที่สุดและมีบทบาทอยู่มากในยุคที่สาม คนแคระทั้งสามตระกูลปกครองอาณาจักรต่างๆ ในมิดเดิลเอิร์ธดังนี้

               * โนกร็อด อาณาจักรคนแคระในยุคที่หนึ่ง เมืองของคนแคระสายวงศ์  ไฟร์เบียร์ด
               * เบเลกอสต์ อาณาจักรคนแคระในยุคที่หนึ่ง เมืองของคน แคระสายวงศ์ บรอดบีม
               * คา ซัดดูม หรือ มอเรีย อาณาจักรคนแคระแห่งแรก ตั้งขึ้นตั้งแต่ยุคที่หนึ่ง เมืองของคนแคระสายวงศ์ ลองเบียร์
               * เอเรบอร์ หรือภูเขาโลนลี่ อาณาจักรคนแคระที่ตั้งขึ้นในยุคที่สาม แยกตัวออกมาจากคาซัดดูม พลเมืองจึงเป็นตระกูล ลองเบียร์ด เช่นกัน

     นอกจากนี้ยังมีเผ่าพันธุ์เล็กๆ ของคนแคระอีกกลุ่มหนึ่ง คือ คนแคระค่อม (Petty Dwarves) ภาษาซินดารินเรียกว่า นอยกิธนิบิน ปรากฏในงานเขียนเรื่อง ตำนานบุตรแห่งฮูริน ตำนานเล่าว่าพวกเขาถูกเนรเทศออกจากอาณาจักรของคนแคระด้วยความผิดอย่างใด อย่างหนึ่ง ต้องเร่ร่อนไปในดินแดนเบเลริอันด์ นานไปฝีมือช่างก็ด้อยลง ร่างก็เล็กแกร็นลง จนต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการขุดของป่าและด้วยการลักขโมย คนแคระค่อมคนสุดท้ายที่ปรากฏในตำนานคือ มีม

สิ่งประดิษฐ์

     เผ่าพันธุ์คนแคระได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มที่มีฝีมือช่างดีที่สุดบนมิดเดิลเอิร์ธ เสมอกันกับชาวโนลดอร์ (เนื่องจากเป็นศิษย์       ของอาวเล เทพแห่งการช่าง เช่นเดียวกัน) สิ่งประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงของพวกคนแคระในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ ได้แก่

    * สร้อยพระศอเนากลาเมียร์
    * หมวกเกราะมังกรแห่งตระกูลฮาดอร์
    * ดาบนาร์ซิล
    * เสื้อเกราะมิธริล

 

.::KRAKEN::.

    คราเคน (Kraken) เป็นสัตว์ยักษ์ในตำนานที่ชาวทะเลเหนือหวาดกลัว มักเล่าว่าคล้ายหมึกกระดองขนาดยักษ์ โผล่ขึ้นจากน้ำพรวดเดียวก็สูงกว่าเสากระโดงเรือ ชอบโจมตีเรือเดินสมุทรอย่างกระทันหัน โอบหนวดของมันรัดลำเรือเอาไว้ หนวดที่เหลือมันจะรัดลูกเรือจนกระดูกแหลกเหลว บ้างก็รัดเข้ามาป้อนเข้าปากอันน่ากลัว

     คราเคนถูกเล่าขานมานานเท่าใดไม่ปรากฏ แต่บันทึกที่เป็นหลักฐานครั้งแรก มาจากนอร์เวย์ เป็นเรื่องราวที่อ้างถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเท่าเกาะ ในหนังสือชื่อ "The Natural History of Norway" ที่เขียนโดยบิชอปแห่งเบอร์เก้น Erik Ludvigsen Pontoppidan ท่านได้บรรยายเกี่ยวกับคราเคนเอาไว้ว่า มันเปรียบเสมือนเกาะลอยน้ำขนาดย่อม ลำตัวยาวถึงครึ่งไมล์

     สมัย โบราณคราเคนเป็นสิ่งที่ชาวเรือต้องระมัดระวังมากที่สุด กลาสีที่อยู่ด้านบนต้องคอยมองหาร่องรอยฟองน้ำขนาด ใหญ่ผุดฟ่องขึ้นเพราะนั่น คือเครื่องหมายการ ปรากฏตัวถ้าหากหนีไม่ทันมันจะโผล่หนวดขึ้นข้างเรือ จับยึดเสากระโดงรวมทั้งส่วนต่างๆจนเรือนิ่งสนิทอยู่ในอุ้งมือ หนวดที่เหลือมันจะรัดลูกเรือจนกระดูกแหลกเหลวแล้วค่อยๆคว้าเอาหย่อนเข้าปาก ทีละคน จนหมด...

     เรื่องราวในช่วงถัดมาเกี่ยวกับคราเคนก็ค่อยๆ ลดขนาดของมันลงเรื่อยๆ ไม่มหึมาโอฬาร แต่ก็ยังมีขนาดยักษ์

     นักชีววิทยาเชื่อว่า ที่แท้เป็นหมึกมหึมาชนิดหนึ่ง อยู่ในทะเลลึก และเมื่อตายจะเป็นซากลอยเกยหาด จนชาวประมงพบเห็นและจินตนาการเพิ่มเติมเกินจริง หมึกมหึมามีขนาดใหญ่จริง แต่ไม่เท่าเรื่องเล่าในตำนาน มีซากตัวอย่างที่ยาวเท่าเรือเร็ว และมีหลักฐานจากซาก วาฬสเปิร์ม ว่าวาฬพยายามกินหมึกชนิดนี้ และต่อสู้กัน

     ใน พ.ศ. 1930 มีรายงานการโจมตีเรือของหมึกดังกล่าว นักชีววิทยาและผู้ชำนาญการคาดว่า หมึกมหึมา (Giant Squid) โจมตีเพราะเรือมีลักษณะคล้ายปลาวาฬศัตรูของหมึกจนเข้าใจผิด และจากรายงานของผู้ประสบเหตุอ้างว่า หมึกดังกล่าวมี ขนาดมหึมา โดยเฉลี่ยประมาณ 100 ฟุต น้ำหนักประมาณ 2-3 ตัน ส่วน มากเกิดกับเรือเดินทะเลที่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเท่านั้น

 

;::CHIMERA::;

 

    ไคเมร่า (อังกฤษ: Chimera ; กรีก: Χιμαιρα [Khimaira] ; ละติน: Chimæra) เป็นสัตว์ในเทพนิยายกรีก

 

       ตามตำนานกรีก ไคมีร่าเป็นสัตว์เพศเมีย 3 หัว พ่อของไคมีร่าเป็นยักษ์ชื่อ Typhon และแม่เป็นครึ่งงูชื่อ Echidna และในภาษากรีกโบราณ ไคมีร่าแปลว่า แพะเด็กเพศเมียหรือบางแหล่งว่า แพะเพศเมีย 

ยุดแรกของไคเมร่า

      คำอธิบายยุคแรกเกี่ยวกับไคมีร่าอยู่ในยุคกรีกเป็นของ 
Homer และ Hesiod แปลเป็นไทยได้ดังนี้

      Homor : เธอเป็นสายพันธุ์ของเทพ ไม่ใช่ของมนุษย์ ในส่วนหน้ามีลักษณะเป็นสิงโต, ในส่วนหลังเป็นงู และในส่วนกลางลำตัวเป็นแพะ หายใจออกมาในลักษณะที่ร้ายแรง เป็นพลังของไฟที่โชติช่วง และ Bellerophon ปราบเธอ โดยเชื่อมั่นในเครื่องหมายของพระเจ้า

>> Homer, Iliad 6. 181, ศตวรรษที่ 9 ก่อน คริสตศักราช <<
 
Hesiod : ไคมีร่าผู้ซึ่งหายใจเป็นไฟที่เดือดดาล สัตว์ตัวนี้น่ากลัว มีเท้าที่ว่องไวและแข็งแรง เป็นผู้ซึ่งมี 3 หัว หัวหนึ่งเป็นสิงโตที่ดวงตาดุร้าย, อีกหัวหนึ่งเป็นแพะ และอีกหัวหนึ่งเป็นงู ในส่วนหน้า เธอเป็นสิงโต, ส่วนหลังของเธอเป็นมังกร และในส่วนกลางของเธอเป็นแพะ ไคมีร่าหายใจออกมาเป็นการเป่าที่น่ากลัวของไฟที่โชติช่วง เธอถูกเพกาซัส และ เบลเลอโรฟอน(Bellerophon) ผู้มีเกียรติฆ่า

>> Hesiod, Theogony 319, ศตวรรษที่ 8 ก่อน คริสตศักราช <<
 
 
ตำนานไคมีร่า
 
     มีตำนานกรีกเล่าว่าไคมีร่าทำความเสียหายให้ กับเมือง Lycia ดังนั้นพระราชา Iobates จึงหาคนที่จะกำจัดมัน และได้ Bellerophon เป็นผู้รับภารกิจ Bellerophon ไปจับม้าบินเพกาซัส และใช้มันในการสู้กับไคมีร่า โดยบินขึ้น และต่อสู้กับไคมีร่า และในที่สุดเขาชนะ ซึ่งในเรื่องการต่อสู้กับไคมีร่านี้บ้างว่า เขายิงธนูลงมาใส่ไคมีร่า และฆ่ามันได้ บ้างว่าเขาใช้ก้อนตะกั่วติดที่ปลายหอก แล้วขว้างเข้าไปในปากไคมีร่า เมื่อมันพ่นไพออกมาตะกั่วจึงละลายแล้วไหลลงคอไคมีร่า จึงทำให้มันตาย
 
 
ต้นกำเนิดไคมีร่า
 
    ต้นกำเนิดตำนานของไคมีร่าไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด มี เรื่องหนึ่งว่าภูเขา Yanar ใน Lycia เป็น ภูเขาไฟที่เชื่อว่าเป็นตัวแทนของไคมีร่า เพราะบนยอดเขามีสิงโต, กลางเขาเป็นทุ่งหญ้าที่มีแพะอยู่ และทุกที่ของภูเขาเต็มไปด้วยงู และเชื่อว่า Bellerophon เป็นคนแรกที่ตั้งถิ่นฐานที่นั่น
 
รูปหล่อของไคมีร่า

     รูปหล่อของไคมีร่าที่สมบูรณ์ที่สุดจากสมัยโบราณน่าจะเป็นรูปหล่อสัมฤทธิ์ ที่ขุดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1553 ที่เมือง Arezzo ประเทศอิตาลี เรียกว่า Chimaera of Arezzo รูปหล่อนี้เป็นงาน ฝีมือของชาว อีทรัสแคน(Etruscan) ท่าทางของ รูปหล่อไคมีร่านี้คือ ปากเปิด, ลำตัวโค้งขึ้น และขาหน้าเหยียดตรงไปข้างหน้า ที่ขาขวาหน้ามีอักษรสลักอยู่ อ่านได้หลายแบบเช่น Timmsifil, Taninhesel, Tiumquil
 
 
 
 
 << Chimaera of Arezzo >>
 
   ไคมีร่าเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ในยุคโรมัน และเป็นสัญลักษณ์ของ การผสมกันทางลักษณะทางพันธุกรรมของสัตว์ต่างชนิดกัน สำหรับไคมีร่ากับ Bellerophon เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของความดีเหนือความชั่ว
 
 
 
.:*CHUPACABRA*:.
 
 
 
    ชูปาคาบรา (Chupacabra ภาษาสเปน แปลว่า "ตัวดูดเลือดแพะ") เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับในตำนานชนิดหนึ่ง มีผู้ที่อ้างว่าพบเห็นมันครั้งแรกในเปอร์โตริโกในช่วงต้นทศวรรษที่ 50 และมีหลายคนรายงานว่า มันได้ฆ่าสัตว์ชนิดต่าง ๆ เช่น แพะ ด้วยการดูดเลือด เป็นจำนวนมาก และยังคงมีผู้พบเห็นมันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
     ปัจจุบัน ที่เปอร์โตริโก มีนักสำรวจท้องถิ่นได้สำรวจเรื่องราวเกี่ยวกับชูปาคาบรา และพบถ้ำแห่งหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นที่อาศัยของมัน และรอยเท้าของชูปาคาบราก็มีลักษณะใหญ่คล้ายนกกระจอกเทศ...
 
 
    ที่รัฐเท็กซัส มีเกษตรกรรายนึงอ้างว่าเขาสามารถยิงชูปาคาบราได้และฝังมันไว้ในที่ดินที่บ้านของเขา โดยเจ้าตัวที่เชื่อว่าเป็นชูปาคาบรานั้นได้ฆ่าไก่ของเขาไปแล้วถึง 3 หน ซึ่งเจ้าสัตว์ตัวนี้มีรูปร่างแปลกมาก คือ ตัวเป็นสีฟ้าปนสีเทาและไม่มีขน แต่จากการพิสูจน์ของนักวิทยาศาสตร์จากกะโหลกและตรวจดีเอ็นเอของสัตว์ชนิดนี้แล้วนั้น พบว่า เป็นเพียงสุนัขไคโยตี้ที่เป็นขี้เรื้อนเท่านั้น
 
 
    และจากการศึกษาซากสัตว์ที่เชื่อว่าตายด้วยการดูดเลือดของชูปาคาบราจนหมดตัวนั้นของแพทย์ผู้ เชี่ยวชาญ พบว่า แท้จริงแล้วเลือดในตัวสัตว์เหล่านั้นยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าถ้ามองจากภายนอกอาจดูเหมือนไม่มีเลือดเหลืออยู่ในตัวเลย เป็นเพราะเลือดในตัวสัตว์นั้นได้หยุดไหลเมื่อหัวใจหยุดเต้น และเชื่อว่า สัตว์ที่โจมตีสัตว์เหล่านี้นั้น น่าจะเป็น สุนัขป่าหรือลิงป่า
 
     อย่างไรก็ตาม จากภาพสเก็ตของผู้ที่อ้างว่าเคยพบเห็น ชูปาคาบรามีรูปร่างหน้าตาหลากหลายต่างกัน แต่มีลักษณะที่ร่วมกันคือ มีหน้าตาคล้ายมนุษย์ต่างดาวที่เรียกว่า เกรย์ (Grey) แต่มีขาหลังที่ใหญ่คล้ายจิงโจ้
 
  
ทางซ้าย คือ GREY AILEN ครับ
 
    จากลักษณะที่ผู้ที่พบเห็นสังเกต ชูปาคาบราที่ลักษณะคล้ายกิ้งก่า มีสีเขียวอมเทา มีความสูงประมาณ 1 เมตร และมีท่ายื่นและกระโดดคล้ายจิงโจ้
 
 
 
.::MERMAID::.
 

เงือก หรือ นางเงือก (Mermaid) เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งตามความเชื่อนิยายปรัมปราเกี่ยวกับน้ำ โดยเป็นจินตนาการเกี่ยวกับสัตว์น้ำ โดยมากจะเล่ากันว่าเงือกนั้นเป็นสัตว์ครึ่งมนุษย์ มี ส่วนครึ่งท่อนบนเป็นคน ส่วนครึ่งท่อนล่างเป็นปลา

     นางเงือก (mermaid) เป็นสัตว์โลกอยู่ในทะเลในจินตนาการ มีศรีษะและลำตัวท่อนบนเป็นผู้หญิงสวย ท่อนล่างเป็นปลา ภาษาเยอรมันเรียกนางเงือกว่า meerfrau และเดนมาร์กคือ maremind 

       โจนส์ระบุว่า นางเงือกคือเทพธิดาแห่งทะเล มักปรากฏตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ มือหนึ่งถือหวีสางผม มือหนึ่งถือกระจก มีลักษณะคล้าย ไซเรน (siren - ปีศาจทะเล ครึ่งมนุษย์ผู้หญิง ครึ่งนก มีเสียงไพเราะมาก ล่อลวงคนไปสู่ความตาย ในนิทานปรัมปราของกรีก)
ใน หลายประเทศทั่วโลก มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานเงือกมากมาย


     ความ เชื่อในเรื่องดังกล่าว บางคนเสนอว่า บางทีอาจเป็นเพราะผู้คนในสมัยโบราณเข้าใจผิด คิดว่า พะยูน คือเงือกก็เป็นได้

   แต่เดิมนางเงือกอาจจะเป็นธิดาของพวกเคลต์ (ชาวไอริชโบราณ) นอกจากนี้ตำนานเกี่ยวกับนางเงือกมาจากเรื่องเล่าของพวกกะลาสีด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับความหายนะของมนุษย์ (Jobes 1961: 1093) แต่โรสกล่าวว่า บางครั้งนางเงือกก็ให้คุณต่อมนุษย์ มนุษย์ ที่ช่วยเหลือนางเงือกมักได้รับความรู้เรื่องสมุนไพรรักษาโรคซึ่งเยียวยาไม่ ได้แล้ว ได้ของกำนัล หรือนางเงือกช่วยเตือนให้ระวังพายุ (Rose 1998: 218) 

    บางครั้งนางเงือกก็ได้รับสมญานามว่าพรหมจารีแห่งทะเล มีลักษณะสวยงาม กระจกของนางเงือกคือสิ่งที่แทนวงพระจันทร์ และผมที่สยายยาวคือสาหร่ายทะเล หรือรังสีบนผิวน้ำ (Jobes 1961: 1093) แต่บางครั้งก็กล่าวว่ากะลาสีเรือเดินทางไปในเรือนานๆเข้า ไม่ได้เห็นผู้หญิงเลยก็เกิดภาพหลอนขึ้นมา นั่นคือนางเงือกไร้ตัวตนอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเดินทางทางเรือเกิดจินตนาการเพราะว้าเหว่คิดถึงครอบครัว

     ในอดีตการเล่าขานตำนานของเงือกส่วนมากจะคล้ายๆกัน คือสาวน้อยที่โผล่พ้นน้ำด้วยท่อนบนเปลือยเปล่าแต่ท่อนล่างที่อยู่ใต้น้ำนั้น เป็นปลา ในวรรณคดีไทยก็กล่าวถึงเงือกไว้ว่าเป็นสาวงามที่สวยสะอาด ท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนร่างเป็นปลามีประทุมถันอวบและที่สำคัญเป็นเอกของเรื่อง พระอภัยมณีเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดและกำเนิดสุดสาครตัวเอกของ เรื่อง(ตกลงจะเล่าเรื่องอะไรกันแน่ ) 

    หลักฐานที่พบจากหนังสือพิมพ์เซ้าแอฟริกัน ฟรีเทอร์เรียนิวส์ ฉบับวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1977 รายงานว่ามีคนพบเงือกตนหนึ่งขึ้นมาเหนือน้ำขณะที่ทะเลคลั่งและท้องฟ้ามีแต่ ดาวมีร่างท่อนบนเป็นหญิงสาวแสนสวยลอยเหนือผิวน้ำสักพักก็จมหายไปแต่เห็นมี ส่วนที่คล้ายหางของปลาชูขึ้นแล้วจมหายลงไปในทะเล 

     ตามตำนานเกี่ยวกับเงือกนั้นกล่าวไว้ว่าเทพโอนเน่ส์ เทพเจ้าแห่งท้องน้ำเทพเจ้าแห่งแสงสว่างและสติปัญญามีบุตรสาว และบุตรชาย ที่มีรูปร่างคล้ายปลา ให้ดูแลท้องน้ำในมหาสมุทรและปกครองทะเลทั้งหมด เรื่องนึงที่น่าประหลาดเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1608 มีคนพบคนครึ่งปลากลุ่มใหญ่ออกมาปิดปากถ้ำที่เซ็นไอเว่ส์แถบชายฝั่ง เบ็นโอเวอร์เนื่องจากเรือหลายลำได้รับคำสั่งให้ไปจับคนนอกศาสนาหรือเหล่าเพ แกนมาทำโทษและจัดการฆ่าทิ้งศพลงทะเล เหตุการณ์นี้ยังเป็นที่งุนงงมาถึงปัจจุบันว่าจริงหรือไม่

    เงือกเป็นเผ่าพันธุ์ของอมนุษย์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกอีกชนิด หนึ่ง ว่ากันว่าเงือกพวกนี้อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่ง บริตานี และว่ายข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังคอร์วอลล์ จึงทำให้ผู้คนที่นั่นขนานนามว่า เมอร์เมด-เมอร์ แมน(เงือกตัวเมีย-ตัวผู้) อันเป็นคำผสมของแองโกล-ฝรั่งเศสและจากคอร์นวอลล์นี่เอง เงือกก็แพร่พันธุ์ไปจนถึงฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไปถึงรอบๆสกอตแลนด์ตอนเหนือสู่สแกนดิเนเวีย มีบางครั้งที่เราอาจเห็นเงือกในจุดต่างๆตลอดแนวฝั่งยุโรปด้วย อาจเป็นเพราะเงือกชอบอากาศเย็นและแนวฝั่งแอตแลนติกของอังกฤษกับไอร์แลนด์ (อันหลังนี่เรียกเงือกว่าเมอร์โรว์และเมอรูชา)

     ในต่างถิ่นมีตำนานเล่าถึงกำเนิดของเงือกต่างๆกัน นิทานพื้นบ้านของโรมันบอกว่า ในสงครามกรุงทรอย เศษไม้จากซากเรือรบที่ถูกเผาวอดกลายสภาพเป็นเลือดเนื้อและเกิดเป็นสิ่งมี ชีวิตคือ เงือก ชาวไอริชเล่าว่านางเงือกคือผู้หญิงนอกศาสนาที่ถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน บางท้องถิ่นมีเรื่องเล่าว่า ชาวเงือกคือ ลูกๆของฟาโรห์ที่จมน้ำในทะเลแดง 

 
    เงือก อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เช่น แม่น้ำ หนองน้ำ หรือบึงนั้น บางแห่งมีบริเวณนิ่งสงบและเย็นผิดปกติเรียกว่า วัง ที่เป็นเช่นอาจเป็นเพราะน้ำบริเวณนั้นลึกกว่าบริเวณอื่นจนแสงแดดส่องลงไปไม่ ถึงพื้น ซึ่งชาวบ้านมักเชื่อกันว่ามีสัตว์ร้าย หรือพวกเงือกอาศัยอยู่

      เล่ากันว่าเงือกนั้นมีหน้าเล็กกลมเท่างบน้ำอ้อย(ประมาณหน้าชะนี)ผมยาว วันดีคืนดีกลางคืนเดือนหงายจะขึ้นบกมาหวีผมด้วยหวีทอง บางทีก็ใช้กระจกทองส่องหน้าด้วย ถ้ารู้สึกว่ามีใครเข้ามาใกล้ตัว จะโจนลงน้ำดำหนีไป ทิ้งหวีและกระจกทองไว้ ถ้ามีผู้พบเห็นกระจกทองแต่เก็บไว้ไม่ทิ้งลงน้ำคืนเงือก เงือกจะมาเข้าฝันทวงของคืน ถ้าไม่ให้ก็จะถูกปลิดดวงวิญญาณไปหรืออาจถูกฉุดตัวจมน้ำไปขณะที่ลงไปอาบน้ำใน ที่แห่งนั้น ความเชื่อเรื่องเงือกนี้มิได้มีแต่เฉพาะไทย แต่ยังมีกล่าวถึงในนิทานท้องถิ่นหลายประเทศ เช่น เขมร ลาว ญี่ปุ่น และทางยุโรป
 
เงือกเขมร 

      ในนิทานเขมรเล่าถึงเงือกไว้ว่า ตากับยายให้หลานสาวแต่งงานกับงูโดยเชื่อตามที่ฝันว่าถ้าหลานสาวมีสามีเป็นงู จะร่ำรวยเป็นเศรษฐี เมื่อส่งตัวหลานสาวเข้าห้องหอให้งูแล้วได้ยินหลานสาวร้องให้ช่วยว่าถูกงูรัด ก็ตะโกนตอบไปว่า ผัวเขากอดรัดนิดหน่อยก็ต้องร้องด้วย หลานสาวก็ร้องอีกว่างูกินเข้ามาครึ่งตัวแล้ว แต่ตากับบายก็เฉยเสียเพราะคิดว่าหลานสาวร้องไปตามมารยาหญิง รุ่งเช้าตายายไม่เห็นหลานสาวออกมาจากห้องนานผิดสังเกตจึงเข้าไปดู พบแต่งูชดตัวพองอยู่ จึงรู้ว่างูกินหลานเสียแล้ว จึงช่วยกันฆ่างูผ่าเอาตัวหลานสาวออกมา หลานยังไม่ตายแต่มีกลิ่นงูติดกายอยู่ ชำระล้างอย่างไรก็ไม่หมดกลิ่น จึงไปล้างด้วยน้ำทะเละ แต่ปรากฏว่าหลานสาวกระโจนลงน้ำกลายเป็นร่างนางเงือกดำหายไป
 
 
เงือกญี่ปุ่น

      
นิทานญี่ปุ่นมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับนางเงือกหลายเรื่อง มีเรื่องหนึ่งเล่าว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งได้ช่วยนางเงือกไว้ที่ชายหาดนางเงือกซาบซึ้งในบุญคุณจึงมอบ เนื้อเงือกให้หญิงสาวและบอกว่าเป็นของวิเศษใครได้กินจะไม่แก่เฒ่า เมื่อหญิงสาวกินเข้าไปก็เป็นไปตามที่นางเงือกบอกคือมีชีวิตอยู่อย่างไม่มี วันแก่แต่คนรอบข้างนางทุกคนต่างตายไปตามอายุขัย เหลือแต่นางเพียงคนเดียวจนทนไม่ได้จึงไปบวชเป็นชีมีชื่อว่า เบคุนิ
 
เงือกไทย

      ในวรรณคดีไทยมีกล่าวถึงเงือกไว้หลายเรื่อง แต่เรื่องที่รู้จักกันแพร่หลายคือเงือกในเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ได้ กล่าวถึงลักษณะของเงือกว่ามีท่อนบนเป็นคน ท่อนล่างเป็นปลา เป็นผู้พาพระอภัยมณีหนีจากนางผีเสื้อสมุทรมาที่เกาะแก้วพิสดาร เรื่องอุณรุท พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็กล่างถึงเงือกไว้ตอนหนึ่งว่า


  "เสด็จนั่งยังท้ายเภตรา
ชมหมู่มัจฉาน้อยใหญ่
ว่ายคล่ำดำดั้นอยู่ไวไว
ที่ใน มหาชลธาร
เงือกงามหน้ากายคล้ายมนุษย์
เคล้าคู่พู่ผุดในชลฉาน"


      ในเรื่องรามเกียรติ์ก็มีนางสุพรรณมัจฉาธิดาของทศกัณฐ์กับนางปลา มีรูปร่างท่อนบนเป็นหญิง แต่มีท่อนล่างเป็นปลา นางได้นำสัตว์น้ำบริวารไปขนย้ายหินที่กองทัพพระรามถมลงทะเลเพื่อทำถนนไปทิ้ง ตามคำสั่งของทศกัณฐ์ แต่ถูกหนุมานจับได้และตกเป็นภริยาของหนุมาน มีบุตรด้วยกันคือ มัจฉานุเป็นลิงเผือกแบบหนุมานแต่มีหางเป็นปลาแบบมารดา

เงือกฝรั่ง

      ความคิดเรื่องเงือกหรือสัตว์ครึ่งคนครึ่งปลานี้ ฝรั่งก็มีเหมือนกัน แลมีทั้งเพศหญิงและชาย ที่เป็นเพศหญิงเรียกว่า Mermaid เพศชายเรียก Mermen เป็นพวกเงือกน้ำเค็มอาศัยอยู่ในทะเลหรือตามเกาะแก่งต่างๆ Merหมายถึงทะเลส่วน Maid หมายถึงหญิงสาวทางฝั่งทะเลตะวันตกของอังกฤษเรียกว่า Merry maidหมายถึงสาวรื่นเริงที่จินตนาการกันว่าชอบว่ายน้ำเล่นคลื่น ยามเดือนหงาย ก็จะขึ้นมานั่งบนก้อนหินตามเกาะแก่งต่างๆหวีผมและร้องเพลงด้วยเสียงอัน ไพเราะ

เงือกกรีก 

     ในตำนานเทพของกรีก ต้นตระกูลเงือกคือ ไตรตอน ซึ่งเป็นลูกของ โพเซดอน เทพเจ้าแห่งท้องทะเล กับพรายน้ำสาวตนหนึ่ง ผู้คนมักจินตนาการว่าไตรตอนมีหางเป็นปลา ไว้หนวดเครายาว ทรงอำนาจในท้องทะเลเหมือนพ่อ ไตรตอนอาศัยอยู่ในปราสาททองคำที่ซ่อนตัวอยู่ก้นทะเล มีตรีศูล(ฉมวกสามง่าม)เป็นอาวุธ คอยเป่าแตรหอยสังข์เพื่อควบคุมทะเลให้สงบหรือบ้าคลั่ง ไตรตอนจึงมีสมญาว่า นักเป่าแตรแห่งท้องทะเล

     แต่ตำนานที่เก่าแก่กว่าเล่าว่า ชาวเงือกยุคบุกเบิกคือ โอนเนส (Oannes) เทพแห่งทะเลของชาวบาบิโลน (อาณาจักรโบราณในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้) ซึ่งมีพลังอำนาจต่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ โอนเนสเป็นตัวแทนของดวงอาทิตย์ มีร่างกายเป็นมนุษย์และมีศีรษะเป็นปลา (บ้างก็ว่าสวมเสื้อคลุมปลา) โอนเนสจะปรากฏกายขึ้นมาจากทะเลในยามเช้าและกลับลงไปในทะเลตอนพลบค่ำทุกวัน ต่อมา เทพอียา(Ea) ซึ่งมีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกันก็ได้ค่อยๆเข้ามามีบทบาทแทนที่โอนเนส ซึ่งถือกันว่า เทพเจ้าอียา เป็นบรรพบุรุษของเงือก ส่วนเทพเจ้า อาทาร์การ์ติส (Atargartis) เป็นตัวแทนของดวงจันทร์ มีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาเช่นเดียวกัน สาเหตุที่เทพเจ้าต่างๆของชาวบาบิโลนมีลักษณะดังกล่าวนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่า เมื่อพวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวัน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็จะจมหายลงไปในทะเล ดังนั้นเทพเจ้าของเขาจึงควรมีรูปร่างลักษณะที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก

 

พะยูน ที่มาของนางเงือก

      นอกจากจินตนาการแล้วมีผู้กล่าวว่าเงือกจริงในธรรมชาติก็มี เป็นสัตว์น้ำประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ชื่อภาษาอังกฤษว่าSea Cow ในภาษาไทยมีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น พะยูน วัวทะเละ หมูน้ำหรือหมูทะเล ส่วนภาษามลายูเรียกว่า Duyong และภาษาชวา Duyung

      กล่าวกันว่าเดิมพะยูนนี้เป็นสัตว์บกมาก่อนชอบหากินในน้ำ ขาและหางจึงกลายภาพเป็นครีบเพื่อให้ว่ายน้ำสะดวก แต่ต้องขึ้นมาหายใจบนน้ำทุกๆ5-8นาที รูปร่างคล้ายโลมาแต่หัวและคอใหญ่แบบหมู มีหนวดสั้นและมีชนตามตัว เมื่อจะให้นมลูกต้องยกตัวขึ้นให้ พ้นน้ำ ดูไกลๆคล้ายกับผู้หญิงอุ้มลูก ลักษณะเช่นนี้เองอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเงือก ซึ่งเป็นสัตว์ครึ่งคนครี่งปลาตามที่ได้เล่ามาแต่ต้น


     
เนื้อเงือกเค้าว่ากันว่า บางคนกินไปก็จะเป็นพิษทำให้ร่างกายพิการ อาจกลายเป็นปีศาจหรือบางรายก็ตายไปเลย ส่วนบางคนกินไปก็เป็นอมตะ อยู่ยงคงกระพันหรือมีฤทธิ์มาก และหวีของเงือกถ้าเก็บไปก็จะเจอกับโชคร้ายที่อาจถึงชีวิต

     เรื่องราว เหล่านี้ล้วนเป็นปริศนาลี้ลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ ความลึกลับนี้ สืบทอดต่อเนื่องกันมาโดยผ่านทางเรื่องเล่าเกี่ยวกับเงือก กระจกที่นางเงือกใช้ส่องนั้นเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ ซึ่งการโคจรของดวงจันทร์นั้นมีอิทธิพลต่อการเกิดน้ำขึ้นน้ำลง และความเชื่อมโยงกันระหว่างดวงจันทร์และนางเงือกนี้ได้ช่วยให้ตำนานของนาง เงือกมีความแปลกประหลาดพิศดารมากยิ่งขึ้น

      เมื่อศาสนาคริสต์เริ่มก่อตั้งขึ้น ตำนานนางเงือกได้เปลี่ยนแง่มุมไปจากเดิม ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์นั้น นางเงือกสามารถที่จะมีชีวิตจิตใจ และวิญญาณได้ แต่จะต้องสัญญาว่าจะอาศัยอยู่บนบกตลอดไป ไม่คิดจะกลับคืนสู่ท้องทะเลอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงถือเป็นการสร้างความทุกข์ทรมานใจให้แก่ตัวเธอเป็นอย่างยิ่ง

      มีเรื่องราวอันน่าเศร้าใจเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับนางเงือก ซึ่งไปเยี่ยมเยียนนักบวชรูปหนึ่งอยู่เป็นประจำ ณ สถานที่อันเป็นที่เคารพสักการะในเกาะไอโอนา (Iona) เกาะเล็กๆแห่งหนึ่งห่างออกไปจากประเทศสกอตแลนด์ เธอได้ขอชีวิต จิตใจ และวิญญาณจากนักบวชรูปนั้น และนักบวชก็สวดมนต์ขอพรให้แก่เธอ แต่เธอจะต้องละทิ้งท้องทะเลของเธอตลอดไป แม้ว่าเธอจะปรารถนาชีวิตและจิตใจมากเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถละทิ้งทะเลไปได้ ตอนจบค่อนข้างเศร้าเล็กน้อย เธอได้ไปจากเกาะนั้น และน้ำตาของเธอได้กลายมาเป็นก้อนกรวดสีเขียวเทา หากมีใครพบก้อนกรวดดังกล่าวบนเกาะไอโอนา ก็จะเป็นที่ทราบกันดีว่า คือน้ำตาของนางเงือก

      หลัก ฐานอีกอย่างที่สนับสนุนเรื่องเงือกมีจริงเมื่อปี1685ได้มีชาวประมงพบ ซาก สัตว์ที่ดูคล้ายคนครึ่งปลานอนตายเกยชายฝั่งของฟิลิปปินไปทางตะวันตก และ ปี 1741ได้มีคนพบซากของปลามีหัวเป็นคนที่ฝั่งทางตอนใต้ของออสเตเรีย แต่ที่สำคัญเมื่อ ปี 1985 ได้มีคนค้นพบปลาชนิดหนึ่งมีหัวคล้ายๆหน้าของมนุษย์ตัวเป็นปลาต่อมาได้ให้ ชื่อปลาชนิดนี้ว่าHUMANFISH


 
 
คุณสมบัติของนางเงือก 
 

-->บาง ตำนานกล่าวถึงนางเงือกว่าเสียงของนางเงือกจะใสกังวาลและชักนำพากลาสีเรือแตก ลงสู่ห่วงน้ำวงใต้ทะเล 

-->บางตำนา นกว่าวว่า เสียงของนางเงือกไพเราะและขับร้องพาเรือลงสู่วังน้ำวน 

-->บางตำนานกล่าวว่า นางเงือกเป็นแค่ปล่าพยูน

-->บางตำนานกล่าวว่า น้ำตาของนางเงือกจะเป็นไข่มุกแห่งพลังในการคุ้มครองจากปีศาจร้าย 

-->บางตำนานกล่าวว่า มงกุฏของนางเงือกทำมาจากใบไม้ใต้ท้องทะเลมีพลังในการฟื้นนพลังและรักษา 

-->นางเงือกสามารถว่ายรวมกันเพื่อสร้างน้ำวนได้ และยังสามารถทำให้เรือจมลงได้ 

-->
บาง ตำนานยังกล่าวว่านางเงือกเป็นธิดาของโพเซดอนอีกด้วย
 
 
.::CENTAURS::.
 
 
    เซนทอร์ (อังกฤษ: Centaurs ; กรีก: Κένταυροι) เซนทอร์มีร่างส่วนบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย แต่ส่วนลำตัวลงไปเป็นม้าหนุ่มที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ สง่างาม อาศัยอยู่แถบภูเขาของอาคาเดีย และเทสสาลีในประเทศกรีซ
 
 

ตำนาน

     เซนทอร์มีสองตระกูล โดยตระกูลหนึ่งเกิดจาก อิคซอน อันธพาลแห่งสวรรค์ที่ขึ้นชื่อ กับอีกตระกูลที่เกิดจากโครนัส ฝ่ายหลังมีอุปนิสัยดีแตกต่างจากฝ่ายแรกมาก

     เซนทอร์ตระกูลอิคซอน เกิดจากอิคซอนกับเนฟีลี มีพละกำลังมาก ชอบดื่มไวน์กับชอบไล่คว้าผู้หญิง ซ้ำชอบทะเลาะเวลาเมา เซนทอร์จึงถูกมองว่าเป็นพวกขี้เมาไม่กลัวใครทั้งสิ้น
 
   เซนทอร์ตระกูลโครนัสต่างกับตระกูลอิคซอน เป็นเซนทอร์แสนดี โครนัสแต่งงานกับฟีลีร่า นางอัปสรน้ำผู้เลอโฉม มีลูกชื่อไครอน ซึ่งเป็นผู้คงแก่เรียน มีความสุขุมรอบคอบจนได้รับเลือกให้เป็นอาจารย์ของเหล่าวีรบุรุษหลายคนในตำนานกรีก เช่น อคิลลีส, เฮอร์คิวลีส, เจสัน, พีลูส, อีเนียส และบรรดาลูกศิษย์ของเขาก็ประพฤติตัวตามแบบครูบาอาจารย์ได้เป็นอย่างดี
 
 
   ไครอนมีความสามารถในหลายด้านทั้งวิชาด้านดนตรี, เภสัชกรรมวิทยาหรือการปรุงยารักษาโรคและการยิงธนู เป็นนับถือของชาวกรีกโบราณจำนวนมาก เขาเป็นผู้สอนให้มนุษย์นำพืชสมุนไพรมาใช้เป็นยารักษาโรค
 
 
   ไครอนตายเพราะโดนธนูอาบยาพิษของเฮอร์คิวลิสขณะที่เขา ตามล่าเซนทอร์พวกหนึ่ง แม้ไครอนเป็นหมอแต่ก็ไม่สามารถแก้ไขยาพิษนี้ได้ เนื่องจากไครอนนั้นเป็นอมตะจึงตายไม่ได้ แต่ก็ต้องทรมานเนื่องจากยาพิษ จึงต้องขอให้จูปิเตอร์ทำให้เขาตาย และก็ได้เป็นกลุ่มดาวแซจิทาริอัสหรือราศีธนู ซึ่งเป็นกลุ่มดาวทางใต้และใจกลางทางช้างเผือกก็อยู่ในกลุ่มดาวนี้
 
 
สัญลักษณ์
  เซนทอร์เป็นสัญลักษณ์ของ "อารมณ์ที่ดุร้ายป่าเถื่อนและรุนแรงเกินขอบเขต" โดยเฉพาะอารมณ์ที่ก่อให้เกิดการผิดประเวณี สัตว์ครึ่งคนครึ่งม้าพวกนี้ยังใช้เป็นสัญลักษณ์พลกำลังที่ป่าเถื่อน การแก้แค้นพวกนอกรีต และมนุษย์ที่ต้องต่อสู้กับความรู้สึกพ่ายสูงและฝ่ายต่ำของตนเองด้วย ในงานศิลปะบางครั้งตัวเซนทอร์มีคันศรและลูกดอกอันเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายในมือ
ดาวเคราะห์น้อยเซนทอร์
 
 
 
     เซนทอร์ (อังกฤษ: Centaur) คือวัตถุน้ำแข็งคล้ายดาวเคราะห์ขนาดเล็กในระบบสุริยะรอบนอกที่มีวงโคจรไม่แน่นอน ตั้งชื่อตามเผ่าพันธุ์เซนทอร์ในตำนานปรัมปรา เนื่องจากมัน วงโคจรของเซนทอร์ตัดหรืออาจตัดกับวงโคจรของดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ในระบบ และมีช่วงอายุที่เปลี่ยนแปลงอยู่หลายล้านปี

 

 

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
salimz's profile


โพสท์โดย: salimz
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
รวมเลขมงคลและเลขวันสำคัญ 2 พฤษภาคม 2567สาว "เจี๊ยบ" ทำเนียนเดินรวมกับ นร.ญี่ปุ่น..ทำเอาหนุ่ม "บอย" ถึงกับแยกไม่ออกเขมรอ้างเล่นสาดน้ำมาตั้งแต่คศ.1974 แต่โป๊ะแตก! ตอนนั้นเขมรมีสงครามอยู่เลย?ลูกค้าหนุ่มเศร้า หลังรีวิวชุดกีฬาที่ซื้อมา แต่ดันพลาดเห็นหนอนน้อยชาวลาวไม่ทน! หลังหนุ่มจีนโพสทิ้งเงินกีบลงในถังขยะ ทำคนลาวถึงกับไม่พอใจ?
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ชาวลาวไม่ทน! หลังหนุ่มจีนโพสทิ้งเงินกีบลงในถังขยะ ทำคนลาวถึงกับไม่พอใจ?อิหร่านขู่ถล่มที่ตั้งนิวเคลียร์ ของอิสราเอลด้วยขีปนาวุธชวนมารู้จักลาบูบู้ มาการอง เดี๋ยวจะคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง
ตั้งกระทู้ใหม่