จุ๊ๆ อย่าทำเสียงดังในทะเล คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่ทำร้ายโลมาและวาฬ
สวัสดีครับเพื่อนๆ มนุษย์ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เจริญและมีสติปัญญามากที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ที่ผ่านมาได้สร้างและพัฒนาความเจริญในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ช่วยให้เราทุกคนสุขสบายขึ้น แต่ขณะเดียวกัน มนุษย์ก็เป็นสัตว์ที่ทำลายล้างธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตอื่นได้มากที่สุดเช่นกัน การใช้พื้นที่ทางทะเลเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ทั้งหลายรวมทั้งตัวผมเองด้วย ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้อยใหญ่ในทะเล โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างวาฬโดยไม่รู้ตัว
นักวิจัยพบว่าเหล่าสรรพสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสัตว์น้ำในทะเลกำลังใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขและมีสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะปัญหามลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้นในทะเลและมหาสมุทรแหล่งซึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์ประเภทนี้ เนื่องจากท้องทะเลและมหาสมุทรกลายเป็นแหล่งขุดค้นทรัพยากรน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เส้นทางเดินเรือ แหล่งทดลองอาวุธ และกิจกรรมอื่นๆ หลากหลายร้อยพันรูปแบบของมนุษยชาติ
กิจกรรมทางทะเลชนิดต่างๆ ได้ก่อให้เกิดเสียงรบกวนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสัตว์น้ำ ทำให้สัตว์เหล่านั้นไม่สามารถใช้เสียงสื่อสารกันได้ และนี่เป็นเหตุปัจจัยที่ทำร้ายสังคมและก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการรักษาเผ่าพันธุ์ของสัตว์น้ำที่ใช้คลื่นเสียงและเสียงในการสื่อสารระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภท วาฬและโลมา ที่นอกจากจะพึ่งพาเสียงในการสื่อสารแล้วยังใช้คลื่นเสียงโซนาร์ความถี่สูงในการนำทางและหาเหยื่อในเขตน่านน้ำต่างๆ ทั่วโลก
ในน้ำทะเลเสียงเดินทางได้ไกลและรวดเร็วกว่าการเดินทางผ่านอากาศถึง 5 เท่า โดยเสียงสามารถเดินทางในทะเลด้วยความเร็วเฉลี่ย 1,450 เมตรต่อนาที ส่วนความเร็วของเสียงในอากาศที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส คือ 334 เมตรต่อนาที ปัจจัยที่มีผลต่อความเร็วของเสียงเมื่อเคลื่อนที่ในน้ำทะเล จะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความเร็ว และความดัน โดยความเร็วของเสียงจะเพิ่มขึ้นเมื่อปัจจัยดังกล่าวทั้งสามเพิ่มขึ้น
ดังนั้นเสียงที่สัตว์น้ำเหล่านั้นได้ยินจะดังกว่าเสียงเดียวกันที่มนุษย์ได้ยินในอากาศ และในทะเลเสียงจะเดินทางไปไกลกว่าในอากาศ ทำให้มลภาวะทางเสียงในทะเลรุนแรงกว่าการเกิดมลภาวะทางเสียงในเมืองใหญ่มากนัก
การทดลองอาวุธทางทะเล
นายไมเคิล จาสนี ผู้อำนวยการโครงการพิทักษ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลเคยกล่าวว่า มนุษย์ควรลดเสียงรบกวนสัตว์ในทะเลลงได้แล้ว เพราะทุกวันนี้เสียงที่มนุษย์สร้างขึ้นทำให้วาฬ และโลมา เกิดอาการ "ตาบอด" ระหว่างหากิน เนื่องจากสัตว์ทั้งสองชนิดไม่สามารถส่ง-รับคลื่นโซนาร์ที่ตัวมันสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการล่าเหยื่อได้ อีกทั้งเสียงรบกวนยังทำให้การสื่อสารระหว่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่กันเป็นสังคมใกล้ชิด ติดๆ ขัดๆ เปรียบได้กับการโทรศัพท์แล้วมีคลื่นแทรกจนมนุษย์เราไม่สามารถจับใจความได้จนเกิดความรำคาญและความเครียดขึ้นมา ฉันใดก็ฉันนั้น
หรือการที่โลมาและวาฬมาเกยตื้นทุกปีคราวละหลายตัว อาจเกิดจากสาเหตุของการถูกรบกวนการส่งสัญญาณของพวกมัน จึงทำให้มันหลงทิศ จริงๆ แล้วยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้น แต่ข้อน่าสังเกตุประการสำคัญคือ โลมาและวาฬเหล่านั้นเป็นสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในน้ำลึก และการอยู่กันแบบสังคมครอบครัวใกล้ชิด มันตั้งใจฆ่าตัวตาย หรือเพราะเหตุผลอื่น มีการตั้งสมมุติฐานว่าอาจเป็นเพราะ
- ความผิดพลาดในการเดินทาง
- ความสับสนในการใช้ระบบสัญญาณโซนาร์ในน้ำตื้น
- ความพยายามเดินทางในเส้นทางเดิมที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาไปแล้ว
- ผลจากการมีปรสิตเกาะกินอยู่ภายในช่องหูด้านใน
- ประชากรมีหนาแน่นเกินไป
- เสียงและการรบกวนจากการเดินเรือในทะเล
- มลพิษ
- แผ่นดินไหว
- พายุ
- ข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์
- ฯลฯ
บทความนี้เป็นบทความเล็กๆ ผู้เรียบเรียงเองก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรในสังคมมากมายนัก แต่อย่างน้อยก็รู้สึกถึงความผิดพลาดที่มนุษย์รวมทั้งตัวผมเองมีส่วนทำร้ายสัตว์น้อยใหญ่อย่างขาดความเข้าใจต่อระบบนิเวศอันยิ่งใหญ่แห่งท้องทะเล ก็หวังว่าเรื่องราวเหล่านี้คงจะมีส่วนให้ผู้คนหันมาตระหนักถึงผลกระทบที่เราก่อขึ้นกับสัตว์ที่เราบอกว่ารักมันอย่างโลมาและวาฬต่อไป แล้วพบกันใหม่กับครับ...mata
เรียบเรียงโดย พรชัย สังเวียนวงศ์ (mata)
ขอบคุณภาพจาก