สาเหตุที่พระเทวทัตอาฆาตพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงเรื่องราวที่พระเทวทัตเริ่มต้นจองเวรกับพระพุทธเจ้าไว้ใน เสรีววาณิชชาดก[11] ซึ่งปรากฏเนื้อหาโดยละเอียดในคัมภีร์อรรถกถา[12]สรุปความโดยย่อดังนี้
ย้อนหลังไป 5 ภัทรกัป ได้มีพ่อค้าเร่เพื่อนกันสองคนชาวแคว้นเสริวรัฐ มีชื่อเดียวกันว่าเสรีวะ
คนหนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ (พระพุทธเจ้าในปัจจุบัน) อีกคนหนึ่งเป็นพระเทวทัตในปัจจุบัน ทั้งสองได้ทำการค้าขายเร่ รับซื้อและขายของไปตามหัวเมืองต่าง ๆ
จนวันหนึ่งทั้งสองได้ไปค้าขายเครื่องประดับในเมืองอริฏฐปุระ โดยตกลงแบ่งให้เข้าไปคนละทาง เพื่อไม่ไปค้าขายแข่งกัน
พ่อค้าคนแรก (พระเทวทัต) ได้ตะโกนเร่ขายของตามถนนในเมืองไปเรื่อย ๆ
จนไปถึงบ้านอดีตเศรษฐีผู้ดีเก่าตกยากหลังหนึ่ง ที่เหลืออยู่แต่เพียงยายกับหลานสาวในบ้านซ่อมซ่อไม่มีฐานะ
เมื่อหลานสาวได้ยินเสียงพ่อค้าหาบเร่ จึงได้วิ่งออกมาดู เลยอยากได้เครื่องประดับ
จึงไปขอร้องให้ยายซื้อให้ ยายจึงเรียกพ่อค้าเข้ามานั่งในบ้านและนำถาดเก่า ๆ สมบัติของตระกูลใบหนึ่งมาให้พ่อค้าดูเพื่อแลกซื้อเครื่องประดับให้หลาน
ปรากฏว่าพ่อค้าจับดูจึงรู้ว่าเป็นถาดโลหะ เมื่อแอบเอาเข็มกรีดหลังถาด จึงเห็นว่าเป็นถาดทองคำ
มีราคาถึงแสนกหาปณะ แต่ด้วยความที่พ่อค้าละโมภ อยากได้ถาดทองคำ
โดยจะกดราคาให้ถึงที่สุด จึงทำทีเป็นไม่สนใจโวยวายว่าเป็นถาดไม่มีราคา
แล้วก็โยนถาดทิ้งและก็ลุกเดินออกจากบ้านไป โดยหวังว่าสักพักจะเข้ามาใหม่เพื่อให้ยายแก่เปลี่ยนใจ
ยอมแลกถาดกับของขายเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อคว้าถาดทองกำไรงามถาดนั้น
คล้อยหลังไปไดสักพัก พ่อค้าพระโพธิสัตว์ผ่านมา เห็นพ่อค้าคนแรกออกจากซอยนั้นไปแล้ว
จึงแวะเข้ามาขายเครื่องประดับอีก ซึ่งคราวนี้ หลานของยายอดีตตระกูลมหาเศรษฐีเมื่อกี้ก็ร้องอยากได้เครื่องประดับอีก
ยายจึงเรียกให้พ่อค้าเข้ามาเพื่อขอแลกถาดเก่า ๆ สนิมเขรอะกับเครื่องประดับที่พ่อค้านำมาขาย
เมื่อพ่อค้าจับถาดเก่าก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นถาดทองคำ มีราคาตั้งแสนกหาปณะ พ่อค้าพระโพธิสัตว์จึงบอกยายแก่ว่า "ถาดนี้เป็นถาดทองมีราคามหาศาล ของที่ฉันนำมาเร่ขายทั้งหมดนี่ก็สู้ราถาถาดของยายไม่ได้หรอกจ๊ะ"
ยายแก่เห็นความซื่อสัตย์ของพ่อค้าจึงบอกว่า "ถาดนี้ เมื่อกี้พ่อค้าอีกคนโยนลงพื้นดูถูกว่าของไม่มีราคา แต่คราวนี้พ่อมาบอกว่ามีราคาตั้งแสน พ่อนี่ช่างตาถึงมีบุญเหลือเกิน เอาอย่างนี้ ฉันให้ถาดนี้แก่ท่าน เอาไปเถิด ส่วนท่านจะให้ของขายอะไรแก่ฉันกะหลานก็ได้ตามใจเถิด"
พ่อค้าพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า "เอาอย่างนี้นะยาย ฉันยกของที่ฉันเอามาขายและเงินที่ติดตัวมาให้ยายหมดเลยก็แล้วกัน ฉันขอแค่ตาชั่งเอาไว้ทำมาหากินและเงินสัก 8 กหาปณะพอค่าเดินทางก็พอจ๊ะ"
เมื่อพ่อค้าได้ถาดทองแล้ว จึงเดินทางไปที่ที่เรือเพื่อเดินทางกลับ ปรากฏว่า หลังจากพ่อค้าคนแรกเดินไปได้สักพักใหญ่ จึงย้อนมาหายายแก่เพื่อขอซื้อถาดใบนั้น
แต่เมื่อยายเห็นพ่อค้าเข้ามาก็ตะเพิดไปว่า "ไอ้พ่อค้าจัญไร! ท่านทำให้ถาดทองคำเราเป็นของไร้ค่า ชิชะ! มาตอนนี้จะมาขอซื้อ ไป จะไปไหนก็ไป เมื้อกี้ ฉันยกถาดที่แกอยากได้ให้เป็นบุญแก่พ่อค้าตาถึงไปแล้ว แถมได้ตังค์กับของมาตั้งพันกหาปณะ"
เมื่อพ่อค้าคนแรกได้ฟังดังนั้นถึงกับตกใจแค้นถึงสิ้นสติสลบฟุบไป
พอฟื้นขึ้นก็เกิดความเสียดายอย่างเป็นกำลัง ถึงกับโปรยเงินและข้าวของที่นำมาเร่ขายทิ้งไว้หน้าบ้านยายแก่ แล้วก็ถือคันชั่งวิ่งตามรอยเท้าพระโพธิสัตว์ หวังจะแย่งถาดทองคืนไปถึงฝั่งแม่น้ำนั้น
เห็นพระโพธิสัตว์กำลังขึ้นเรือไปอยู่ จึงกล่าวว่า "นายเรือโว้ย! เอาเรือกลับเข้าฝั่งเดี๋ยวนี้ ๆ" พระโพธิสัตว์ห้ามนายเรือว่า "อย่ากลับ ๆ" และแล่นเรือลับไป
เมื่อพ่อค้าพาล เห็นพระโพธิสัตว์นั่งเรือหายวับไป
จึงเกิดความโศกเศร้าเสียดายมีกำลัง หัวใจเต้นแรง เลือดพุ่งออกจากปาก
และตั้งอธิษฐานผูกอาฆาตพระโพธิสัตว์ว่าจะจองเวรไปจนกว่าจะหาไม่
และถึงกับสิ้นชีวิตลง ณ ที่นั้นนั่นเอง.
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระเทวทัตจึงได้คอยตามมาเกิดเพื่อจองเวรกับพระพุทธเจ้าตลอดมาจนแม้กระทั่งชาติสุดท้ายที่พระเทวทัตเกิดเป็นชูชกและเกิดเป็นเจ้าชายเทวทัต
ซึ่งเป็นพระญาติกับพระพุทธเจ้าในชาติปัจจุบัน ก่อนที่จะก่ออนันตริยกรรมและสำนึกผิดในภายหลัง
สถานที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบในปัจจุบัน
ตามคัมภีร์อรรถกถากล่าวว่า สถานที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบอยู่ริมสระน้ำหน้าวัดเชตวันมหาวิหาร ในปัจจุบันบริเวณหน้าวัดเชตวันยังคงมีพื้นที่ว่างแปลงหนึ่งอยู่กลางนา ไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าไปปรับพื้นที่ทำนา เนื่องจากเล่าสืบต่อกันมาว่าเป็นสถานที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบ
ปัจจุบันผู้นำเที่ยวชมวัดเชตวันมักบอกว่าบริเวณนี้คือจุดที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสระน้ำที่นางจิญจมาณวิกา ถูกธรณีสูบเช่นเดียวกัน
— 'อรรถกถาพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ อรรถกถา เสรีววาณิชชาดก