“อย่าทำ ! เดี๋ยวแม่มดกลับมาไม่เห็นลูกมด”
เด็กหญิงน่ารักอายุ ๒ ขวบคนหนึ่ง อบรมเมตตาให้เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน
และควรจะเป็นการอบรมจิตใจผู้ใหญ่ที่ได้รู้ได้ยินด้วย
คือวันหนึ่งเมื่อเพื่อนตัวน้อยๆ เท่ากัน จะบี้มดที่กำลังเดินอยู่กับพื้น
เด็กหญิงห้ามทันที มีเหตุผลจากใจจริง ที่จับใจผู้ใหญ่ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง
“อย่าทำ ! เดี๋ยวแม่มดกลับมาไม่เห็นลูกมด”
แม้ใครทั้งหลายที่กำลังคิดจะทำลายชีวิตสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ หรือกระทั่งชีวิตมนุษย์ ก็น่าจะนำเสียงห้ามของเด็กหญิงน้อยๆ ดังกล่าวมาเตือนตนเองบ้าง
“อย่าทำ ! เดี๋ยวแม่ปลาหาลูกปลาไม่พบ” หรือ
“อย่าทำ ! เดี๋ยวลูกยุงร้องไห้ คิดถึงแม่ยุง” หรือ
“อย่าทำ ! เดี๋ยวลูกนกไม่มีแม่นก” หรือ
“อย่าทำ ! เดี๋ยวไม่มีใครเลี้ยงลูกเขา”
เตือนตัวเองให้จริงใจ ให้รู้สึกจริงจังดังที่คิด หรือที่เปล่งวาจา ก็ย่อมเป็นการอบรมเมตตาอีกวิธีหนึ่งที่ง่ายและน่าทำเสมอ
เมตตานั้นไม่จำเป็นที่ผู้ใหญ่จะเป็นฝ่ายผู้สอนเด็กเสมอไป แม้เด็กก็สอนผู้ใหญ่ได้ ทั้งๆ ที่เด็กไม่ได้รู้ว่ากำลังเป็นผู้สอน และเด็กไม่รู้ว่าความคิดของตนเกิดแต่เมตตาที่บริสุทธิ์แท้จริง
สำหรับผู้ใหญ่ที่ใจพร้อมที่จะรับคำเตือนใจให้เมตตา ย่อมรับได้แม้เป็นคำเตือนของเด็ก ปฏิบัติให้เกิดผลทันที เช่นรายที่เคยเล่าว่า ครั้งหนึ่งชอบยิงนกตกปลามาก เดี๋ยวนี้เลิกแล้ว เลิกตั้งแต่วันหนึ่งถือปืนไปเที่ยวยิงนกกับลูกชายน้อยๆ พอยิงนกตกลงตัวหนึ่ง ก็สั่งให้ลูกชายไปเก็บ คิดว่าลูกชายคงจะตื่นเต็นดีใจตามประสาเด็ก ที่เห็นนกที่กำลังบินอยู่กลางอากาศร่วงลงดิน
แต่ลูกชายกับมีสีหน้าพิศวงสงสัย และถามเขาซื่อๆ ว่า
“นกตัวนี้มันทำอะไรพ่อหรือ ? พ่อจึงยิงมัน”
คำถามที่แสนซื่อของเด็กชายเล็กๆ ที่ถือร่างไร้ชีวิตของนกอยู่ในมือ ทำให้ตั้งแต่วันนั้นมาเขาไม่เคยยิงนกตกปลาอีกเลย นกปลาเหล่านั้นมันทำอะไรให้ นี่คือคำถามที่จะนำไปสู่ความมีเมตตาแน่นอน
การไม่เมตตาผู้อื่น เป็นการไม่เมตตาตนด้วย
ศีลเกิดแต่เมตตา เมตตาเกิดกับศีล ทั้งสองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ศีลของผู้ใดบกพร่อง เมตตาของผู้นั้นก็บกพร่องด้วย บกพร่องทั้งเมตตาตนเอง และบกพร่องทั้งเมตตาผู้อื่น อันเมตตาตนเองกับเมตตาผู้อื่น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แยกจากกันไม่ได้
การไม่เมตตาผู้อื่น ก็เป็นการไม่เมตตาตนไปพร้อมกัน พึงคิดถึงสัจจะประการหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ คือ “ทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว ผู้ใดทำกรรมใดไว้ จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น”
เมื่อเบียดเบียนเขา เราเองนั่นก็จะต้องได้รับผลนั้น เมื่อไม่เมตตาเขา เราเองนั่นก็จะต้องได้รับผลนั้น
“เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก” มีพระพุทธศาสนสุภาษิตแสดงไว้เช่นนี้ เมื่อเมตตาเป็นเหตุให้มีศีล ศีลเกิดแต่เมตตา เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก ก็คือศีลเป็นเครื่องค้ำจุนโลกเช่นกัน
โลกมิได้หมายถึงเพียงดาวดวงหนึ่งดังเป็นที่เข้าใจกันอยู่ แต่โลกหมายถึงตนเอง หมายถึงเขาอื่นทั้งหลายทั้งปวง ผู้มีเมตตา หรือผู้มีศีลจึงเป็นผู้ค้ำจุนตนเอง และค้ำจุนผู้อื่นทั้งหลาย
: การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
กระทู้ที่ไม่ได้ เด่นเหมือนคนอื่นๆ แต่จะเอามาลงบ่อยๆ
เผื่อใครที่ต้องการกำลังใจ เผื่อคนที่กำลังเจอปัญหา
เผื่อคนที่อยากจะมีสุขจากใจ จริงๆ
(บอกตัวเอง : ทำดีแล้วทำต่อไป ฮ่าๆ)