ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเมตตากับพวกเกรียนแบบนี้
หลังจากดาราหนุ่ม“ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา”โพสต์ข้อความในอินสตาแกรม เกี่ยวกับเรื่องรถคันแรก กลายเป็นประเด็นเรียกแขกให้กับคนที่เชียร์รัฐบาล พากันมาตั้งคำถามและแสดงความเห็นต่างกันอย่างมากมาย อ่านดูแล้วจะรู้ว่าผู้ถามกับผู้ตอบ ใครฉลาดกว่าใคร
“ต้องการลดปริมาณรถยนต์ภายในประเทศ เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการทำลายรถคุณเอง ไม่ใช่ไปบอกให้คนอื่นหยุดซื้อรถคันแรก -- ไม่ทราบที่บ้านมีรถกี่คันฮ่ะคุณณัฐ”
และนี่คือคำตอบแบบมีมันสมองของดาราหนุ่มคนนี้
“ผมถามคุณแค่นี้แล้วคุณไปคิดให้ดีแล้วกัน ตอบผมให้ได้ด้วย แต่ก่อนอื่นผมจะขอบอกเลยว่าผมก็คนชั้นกลาง ตั้งตัวด้วยตัวเอง ไม่เคยแบมือขอเงินพ่อแม่ตั้งแต่เรียนอยู่ปีสามแล้วด้วยซ้ำ
1.นโยบายนี้มุ่งเน้นให้โอกาสคนชั้นกลางตั้งตัวหรอครับ คุณเอาอะไรมาวัด? ผมถามหน่อยทำไมไม่มีการตรวจประวัติการเงินคนซื้อ รวมถึงฐานเงินเดือนให้ไปเลยล่ะ? ถ้าไม่งั้นใครที่ไม่เคยซื้อรถก็ซื้อได้สิครับ! แล้วมันจะแฟร์ตรงไหน?”
“2.ต่อเนื่องจากการที่ใครก็ได้สามารถซื้อรถได้ลดราคา ถ้าเป็นคันแรก ปี 2555 ปีนี้ปีเดียวมีรถออกมาวิ่งบนถนนกรุงเทพฯ มากขึ้นถึง 1 ล้านคันโดยประมาณ (จากสถิติยอดจอง) มากกว่าปีที่ไม่มีนโยบายนี้ถึง 4 เท่า (250,000 คัน) ผมไม่เถียงว่ามันเป็นกลไกตลาดให้อุตสาหกรรมรถยนต์โตขึ้น แต่เม็ดเงินมันไปไหนละครับ มันก็ไหลออกอยู่ดี เพราะประเทศเราไม่มีแบรนด์รถยนต์ของเราเองอยู่ดี ส่วนเม็ดเงินที่เหลือก็เข้ากระเป๋าธุรกิจส่วนประกอบรถยนต์ภายในประเทศ..ซึ่งผมจะบอกอะไรให้นะ..มากกว่า 50% นำเข้าวัตถุดิบ เงินอีกส่วนก็สะพัดในตลาดแรงงาน”
“3.ในเมื่อไร้การควบคุมปริมาณรถที่ออกสู่ท้องถนนโดยไร้หลักการ...ผลคืออะไรครับ? รถติดไงครับ รถติดมหาศาลแบบทุกช่วงเวลาของวัน ผมไม่รู้คุณขับรถรึเปล่า แต่ถ้าคุณเป็นคนนึงที่นั่งรถเมล์ (ซึ่งตอนเรียนผมก็เคยนั่งมาแล้วทั้ง ครีมแดง ขาวน้ำเงิน รถร่วม รถเล็ก ปอ.) มันร้อนและทรมานขึ้นขนาดไหนครับ? ถนนในกรุงเทพฯมีพอให้รถวิ่งหรอครับ?? ถ้าคุณดูประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น เค้ามีกฎหมายควบคุมปริมาณรถในเมืองชัดเจนนั่น คือ “ภาษี” ครับ ภาษีในที่นี้เลือกเก็บครับ เก็บจากเฉพาะคนรวย คนที่มีเงินพอจะซื้อรถแพงๆ หรือรถนำเข้าจ่ายหนักหน่อย ส่วนคนซื้อรถญี่ปุ่นรักชาติเสียน้อยหน่อย แต่ภาษีและข้อบังคับที่ไม่ว่าจะจนจะรวยต้องจ่ายเหมือนกัน คือ ภาษีที่จอดครับ และถ้าคุณอยากซื้อรถแต่ไม่มีที่จอดก็ซื้อรถไม่ได้ครับต่อให้มีเงิน”
“4.ผมไม่เถียงเลยครับว่าใครๆ ก็อยากมีรถ เพราะอะไรครับ? เพราะอากาศบ้านเรามันร้อน มลภาวะเยอะ และที่สำคัญ ระบบขนส่งมวลชนมันห่วยครับ!!! ไม่นับรถไฟฟ้าและเอ็มอาร์ทีนะครับ เพราะประเทศพัฒนาแล้ว เค้ามีมาเป็นสิบๆ ปีแล้วครับ ผมกำลังพูดถึงรถเมล์และรถไฟครับ คงไม่ต้องพูดมาก ถ้าคุณนั่งรถเมล์และรถไฟ คุณจะรู้ว่ามันไม่มีการลงทุนพัฒนาเลย รถเก่า ซอมซ่อ ก่อมลภาวะ ควันดำ วิ่งเร็ว มารยาทในการขับ จอด เทียบป้าย เป็นไงละครับ ถ้าคุณเคยไปต่างประเทศ คุณจะรู้ว่ารถเมล์บ้านเราซกมกสุดแล้วครับ มันเป็นรุ่นเก่าดึกดำบรรพ์มาก ต่างจากต่างประเทศที่เป็นแอร์หมด น่านั่งกว่าล้านเท่า ผมถามหน่อยครับ ทำไมไม่มีการลงทุนทำให้รถเมล์รถไฟน่านั่งขึ้น คนจะได้ใช้มากขึ้น จะได้มีรายได้มากขึ้น และไม่ต้องมาอ้างว่า ขาดทุนทุกปีและต้องให้รัฐอุ้ม ผมเห็นใจคนตาดำที่ยังต้องนั่งรถเมล์อยู่ครับ”
“5.ทนกับผมหน่อยนะครับในเมื่อคุณถามผมก็จะตอบ ตอบแบบคนที่เข้าใจปัญหาจริงๆ วกกลับมาประเด็นภาษี ตัวต้นเหตุ จริงแล้วผมเห็นด้วยกับคนที่อยากจะซื้อรถคันแรก และจะได้ลดละภาษีเพื่อตั้งตัว แต่มันต้องมีการตรวจสอบประวัติการเงิน และฐานเงินเดือนอย่างจริงจังครับ จะได้เป็นประโยชน์แก่ “ผู้ได้รับ” การเว้นภาษี รวมถึง “ผู้ให้” เว้นภาษี คนมีเงินแล้วจะได้มาชุบมือเปิบกับนโยบายนี้ครับ จะว่าเลือกปฏิบัติก็ได้ เพราะคุณอย่าลืมว่าชนชั้นกลางบ้านเรา ไม่ได้มีเยอะนะครับ ชนชั้นรากหญ้าต่างหาก ที่มีมากที่สุด ถามว่า เค้ามีส่วนได้ส่วนเสียกับนโยบายนี้มั้ย คุณอาจจะมองว่าไม่ แต่ผมตอบเลยว่ามีเต็มๆ คุณรู้มั้ยปีนี้รัฐบาลละเว้นภาษีรถ 1 ล้านคันโดยประมาณ ยังไม่รวมปีหน้านะ เป็นเงินทั้งสิ้น 1 แสนล้านบาท ถามว่า ทำไมไม่จ่ายคืนคนซื้อรถทันทีเลย คำตอบคือรัฐบาลไม่มีเงินครับ ต้องทยอยคืน ถามต่อ แล้วในเมื่อรัฐบาลไม่มีเงิน แถมยังเป็นหนี้อยู่ จะละเว้นภาษีสิ้นเปลืองนี้ทำไมละครับ??? เงินตั้งแสนล้านเอาไปพัฒนาอะไรได้ตั้งเยอะ ส่งเด็กเรียนฟรีให้จบมัธยม 6 ทุกคนสิครับ ประกันสุขภาพคนจนก็ทำให้ดีขึ้นสิครับ ไปอุ้มชูชาวนา และเกษตรกร กระดูกสันหลังของชาติสิครับ จะมาละเว้นภาษีให้คนชั้นกลางกับคนรวยทำไม ในเมื่อชนชั้นล่างยังต้องนั่งจ่ายภาษีแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย แถมราคาผลผลิตทางการเกษตรก็ยังถูกกดต่ำจนไม่รู้จะต่ำยังไง!!! สรุปนโยบายนี้ไม่ได้ช่วยให้ประเทศเราเจริญขึ้นเลยครับ ถ้ามองจากข้อเสีย ซึ่งมีมากกว่าข้อดีแล้ว หวังว่า คุณคงเข้าใจกระจ่างแจ้งมากขึ้นแล้วนะครับ ขอบคุณครับที่ถาม”
“สุดท้ายนี้บ้านผมจะมีรถกี่คัน ไม่ใช่ประเด็นครับ และก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณด้วย เอาเป็นว่า ผมเป็นประชาชนชั้นกลางคนนึง ซึ่งเสียภาษีแบบถูกต้อง และผมก็ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ประชาชนคนหนึ่ง แต่ผมจะภูมิใจกว่านี้ถ้าเงินภาษีที่ผมจ่ายไปจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ให้มากกว่านี้ ผมว่าพวกเราเพิกเฉยกับปัญหาเหล่านี้มานานแล้วครับ ตื่นเถิดชาวไทย มาร่วมใจกันปฏิเสธอะไรที่ไม่ถูกต้องเถอะครับ เพราะเสียงของพวกเราทุกคน คือ อธิปไตยของเรา ก่อนจะเลือกใคร หรืออะไรซักอย่าง เราต้องศึกษาข้อมูลให้ดีครับ คนดีดูแค่เปลือกไม่ได้หรอกครับ”