ทำไมต้องยิงสลุต 21 นัด
ตำนานการยิงสลุต (ป.พัน.๑ รอ.)
การยิงสลุต ถือเป็นธรรมเนียมที่ทุกอารยะประเทศทั่วโลก
ได้ยึดถือสืบทอดกันมาแต่ครั้งโบราณ
เพื่อเป็นการแสดงความเคารพให้แก่ชาติ หรือ ธง หรือ บุคคล
โดยยิงปืนใหญ่ด้วยดินดำ หรือดินไม่มีควัน
มีจำนวนนัดเป็นเกณฑ์ตามควรแก่เกียรติ หรือสิ่งที่ควรรับความเคารพนั้น
และจะต้องมีการบรรจุดินปืนในกระบอกปืนไว้ก่อน
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน
แต่เมื่อเรือได้เดินทางไปถึงท่าเรือ
ของประเทศที่เรือลำดังกล่าวต้องเข้าไปทำการค้าด้วย
จึงต้องยิงปืนใหญ่ที่บรรจุแต่ดินปืนออกไปให้หมด
เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า
มาอย่างมิตร มิใช่ศัตรู
ตั้งแต่นั้นมาจึงได้เกิดเป็นประเพณีการยิงสลุตขึ้น
เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อกันระหว่างเจ้าบ้านและผู้มาเยือน
อันเป็นประเพณีที่ชาวเรือได้สืบทอดกันต่อมา
แต่เดิม ประเพณีการยิงสลุตได้กำหนดตัวเลขการยิงเอาไว้ที่จำนวน ๗ นัด
ซึ่งในขณะนั้นทางทวีปยุโรปถือว่าเป็นเลขดี
เพราะเชื่อกันตามคัมภีร์ฝรั่งที่ถือว่าพระเจ้าสร้างโลกใน ๗ วัน
หรือเหตุผลอีกกระแสหนึ่งที่ว่าบนเรือรบแต่ละลำมีปืนใหญ่ลำละ ๗ กระบอก
จึงต้องยิงให้เคลียร์หมดทุกกระบอกๆ ละ ๑ นัด
และยังมีธรรมเนียมต่อไปอีกว่า เมื่อเรือสินค้าได้ยิงให้แก่เจ้าของจำนวน ๗ นัดแล้ว
ทางป้อมปืนใหญ่ของชาติเจ้าของท่าจึงต้องยิงตอบออกมา
เป็นจำนวน ๓ เท่า ซึ่งก็คือ ๒๑ นัด
ในเวลาต่อมาได้มีการทำความตกลงกันใหม่ว่า
ควรให้ทั้งสองฝ่ายยิงในจำนวน ๒๑ นัดเท่ากัน
โดยมีประเทศอังกฤษเป็นชาติแรกในการวางกฎระเบียบการยิงสลุต ๒๑ นัด
และได้ถือเป็นกติกาสากลสืบต่อกันมา
เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ชาติและพระมหากษัตริย์ของประเทศนั้นๆ
เท่าที่ปรากฏตามหลักฐาน ประเทศไทยมีการยิงสลุตครั้งแรก
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ซึ่งมีในบันทึกของจดหมายเหตุฝรั่งเศสกล่าวถึงเรือรบฝรั่งเศสชื่อ เลอโวตูร์
ที่ได้เดินทางเข้ามาถึงป้อมวิชเยนทร์ (ป้อมวิชัยประสิทธิ์ในปัจจุบัน) ที่เมืองบางกอก
มองซิเออร์คอนูแอล กัปตันเรือได้มีใบบอกเข้าไปถามทางราชสำนักอยุธยาว่า
จะขอยิงสลุตให้เป็นเกียรติแก่ชาติสยาม ทางราชสำนักจะขัดข้องไหม
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงรับสั่งให้ออกพระศักดิ์สงคราม
(มองซิเออร์คอม เดอร์ ฟอร์แบงก์ นายทหารชาวฝรั่งเศส) ผู้รักษาป้อมในขณะนั้น
อนุญาตให้ฝรั่งเศสยิงสลุตได้
ต่อมาเมื่อสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์แล้ว
พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่คือสมเด็จพระเพทราชา
ทรงไม่โปรดปรานฝรั่งเศส
จึงทำให้ธรรมเนียมการยิงสลุตได้ถูกยกเลิกไป
แต่ถึงที่สุดแล้ว ธรรมเนียมการยิงสลุตนี้
ก็ได้เริ่มกลับมารื้อฟื้นขึ้นอีกครั้ง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
คราวที่ต้อนรับ เซอร์จอห์น เบาวริ่ง ราชทูตอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๘
กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ นั้น
ได้จัด ๑ กองร้อยปืนใหญ่ยิงสลุต ในขั้นตอนถวายพระพร
โดยใช้ปืนใหญ่เบากระสุนวิถีราบ
แบบ ๘๐ ขนาด ๗๕ มิลลิเมตร จำนวน ๔ กระบอก
ซึ่งปรับปรุงดัดแปลงมาจากปืนใหญ่ที่ผลิตจากบริษัท โบฟอร์ด ประเทศสวีเดน
ที่เข้าประจำการเป็นปืนใหญ่ของกองพล เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๐
โดยทำการยิงตามจังหวะของเพลงสรรเสริญพระบารมีจำนวน ๒๑ นัด
สมัยก่อนการยิงสลุตในประเทศไทยยังไม่มีข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์อย่างไร
เพิ่งจะมีข้อบังคับในการยิงสลุตเมื่อปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๘
เรียกว่า “ข้อบังคับว่าด้วยการยิงสลุต ร.ศ.๑๒๕”
แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
การยิงสลุตหลวง และการยิงสลุตเป็นเกียรติแก่ข้าราชการ
ครั้นถึงรัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตราพระราชกำหนดการยิงสลุตขึ้นใหม่
คือ การยิงสลุต ร.ศ.๑๓๑ (พ.ศ.๒๔๕๕)***
กำหนดให้มีจำนวนปืนไม่ต่ำกว่า ๔ กระบอก
ซึ่งมีขนาดลำกล้องไม่เกิน ๑๒๐ มิลลิเมตร
ห้ามยิงตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ตกไปแล้วจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น
แบ่งประเภทการยิงสลุตไว้ ๓ ประเภท คือ
- สลุตหลวง แบ่งเป็น ๒ ชนิด
คือ สลุตหลวงธรรมดา มีจำนวน ๒๑ นัด
และสลุตหลวงพิเศษ มีจำนวน ๑๐๑ นัด
(ต่อมาในรัชกาลที่ ๗ เพื่อเป็นการประหยัดดินปืน จึงไม่ทรงให้ยิงสลุตหลวงพิเศษ)
- สลุตข้าราชการ
- สลุตนานาชาติ
พระราชกำหนดยิงสลุต ร.ศ.๑๓๑ (พ.ศ.๒๔๕๕)
ได้ถูกยกเลิกไปเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๓ ดังนั้นประเพณียิงสลุตจึงได้อวสานลงเพียงแค่นั้น
แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ได้ยุติลง
ทางราชการจึงรื้อฟื้นประเพณียิงสลุตขึ้นมาใหม่
ซึ่งเริ่มประเดิมครั้งแรกในวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๑
เนื่องในพระราชพิธีวันเฉลิมพระชนมพรรษาของรัชกาลปัจจุบัน
ดังนั้นประเพณีการยิงสลุตจึงสืบทอดจากนั้นมาจนทุกวันนี้
โดยกำหนดข้อบังคับไว้โดยสรุปดังนี้.-
กำหนดให้มีจำนวนปืนไม่ต่ำกว่า ๔ กระบอก
ซึ่งมีขนาดลำกล้องไม่เกิน ๑๒๐ มิลลิเมตร
ห้ามยิงตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ตกไปแล้วจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น
แบ่งประเภทการยิงสลุตไว้ ๓ ประเภท
(ทำนองเดียวกันกับพระราชกำหนดยิงสลุต ร.ศ.๑๓๑ *** )
กองทหารซึ่งมีหน้าที่ยิงสลุต เฉพาะเมื่อรับงานหนึ่ง ๆ
การยิงสลุต ให้ใช้ปืนไม่ต่ำกว่า ๒ กระบอก
โดยปกติห้ามมิให้มีการยิงสลุตในระหว่างเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์อัศดงคต
ไปจนถึงเวลาธงขึ้น คือ ๘ นาฬิกา
เว้นแต่เป็นการพิเศษที่มีคำสั่งกระทรวงกลาโหมเฉพาะคราว
คำว่า “ สลุตหลวง ” นั้น หมายความว่า การยิงสลุตมีจำนวน ๒๑ นัด
คำว่า “ สลุตหลวงพิเศษ ” นั้น หมายความว่า การยิงสลุตมีจำนวน ๑๐๑ นัด
และให้กระทำได้ ต่อเมื่อได้รับคำสั่งจากกระทรวงกลาโหม
กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์ ถือว่าเป็นหน่วยยิงสลุตในส่วนของทหารบก
โดยจัด ๑ กองร้อยปืนใหญ่ ซึ่งปรับปรุงดัดแปลงมาจากปืนใหญ่
ที่ผลิตจากบริษัท โบฟอร์ด ประเทศสวีเดน ที่เข้าประจำการเป็นปืนใหญ่ของกองพล
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ซึ่งปกติจะทำการยิงสลุตในพระราชพิธีหรือ รัฐพิธีต่าง ๆ
ตามปกติในวงรอบ ๑ ปี จะทำการยิง ๔ ครั้ง ดังนี้คือ:-
๑) พระราชพิธีวันฉัตรมงคล ๕ พฤษภาคม ของทุกปี
๒) วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ๑๒ สิงหาคม
ทั้งสองวันนี้จะทำการยิงตามหมายกำหนดการพร้อมกัน ทั้ง ๓ เหล่าทัพ
ในเวลา ๑๒๐๐ นาฬิกา จำนวน ๒๑ นัด
๓) พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์
เดิมกระทำใน วันที่ ๓ ธ.ค. ของทุกปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นต้นมา
ได้เปลี่ยนมากระทำพิธีในวันที่ ๒ ธ.ค.
ทำการยิงตามเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมี
ในขั้นตอนถวายพระพรและถวายความเคารพ จำนวน ๒๑ นัด
๔) วันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ยิงตามจังหวะเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมี จำนวน ๒๑ นัด