หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เรื่องแปลกที่เกิดขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา

เนื้อหาโดย luckyforme

  เรื่องที่นำมาให้อ่านต่อไปนี้ เป็นบันทึกของชาวต่างชาติที่เขียนเป็นหนังสือเอาไว้ ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมด

จะมีความจริงเท็จมากน้อยเพียงใด แต่อ่านไว้เพื่อเสริมความรู้และความเพลิดเพลินนะคะ

 

เรื่องที่ 1 พบงูแปลกประหลาดไล่กัดคนกลางแม่น้ำ

 

เรื่องนี้บันทึกไว้ในหนังสือ ไทยในจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์ โดยคุณหมอชาวเยอรมัน ชื่อเอนแยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์

(Engelbert Kaempfer) ที่มาทำงานให้กับคณะทูตฮอลันดา เข้ามาในแผ่นดินของสมเด็จพระเพทราชาเป็นปีที่ 2

ของพระเพทราชา หมอแกมป์เฟอร์บันทึกเรื่องการประกาศห้ามลงน้ำไว้ดังนี้

 

“…เมื่อตอนปลายเดือนนี้มีหมายประกาศกระแสพระบรมราชโองการ

ห้ามราษฎรลงเล่นน้ำในแม่น้ำ ซึ่งต่อมาภายหลังข้าพเจ้าเห็นคนอาบน้ำแม่น้ำอยู่ในเรือ

ทั้งนี้ด้วยเหตุผลว่า ชาวประเทศนี้ไม่อาบน้ำไม่ได้นั่นเอง

การที่มีหมายประกาศดังนี้นั้น เหตุเพราะในระหว่างนั้น ราษฎรที่ลงอาบน้ำในแม่น้ำ

ถูกงูกัดตายกันชุกชุม เขาว่างูจำพวกนี้ตัวยาวไม่เกินนิ้วมือ และโตเท่าปลิงเท่านั้น

ลายสีน้ำตาลสลับน้ำเงิน 8 หรือ 10 ปีจึงมีในแม่น้ำครั้งหนึ่ง

เพื่อให้คนปฏิบัติตามประกาศนี้อย่างเคร่งครัด ได้มีการประกาศในคราวเดียวกันด้วยว่า

ญาติหรือทายาทของทุกคนที่ถูกสัตว์ชนิดนี้กัดตาย จะต้องถูกปรับเป็นเงิน 15 ชั่ง”

 

เรื่องที่ 2 สมเด็จฯหน่อพุทธางกูร ตัดนิ้วตัวเอง

 

   เรื่องนี้ถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับ วัน วลิต พ.ศ 2182

ซึ่งกรมศิลป์เอามาพิมพ์รวมเล่มไว้ในหนังสือที่ชื่อว่ารวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยา

ของฟาน ฟลีต (วัน วลิต)

วัน วลิต เล่าเรื่องสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 หน่อพุทธางกูร ทรงตัดพระดัชนี

หรือนิ้วชี้ของพระองค์เองเพื่อผดุงความศักดิ์สิทธิ์ของพระบรมราชโองการ ดังนี้

 

"...ขณะที่พระองค์กำลังเดินเล่นไปยังห้องต่างๆในพระบรมมหาราชวัง ก็สังเกตเห็นว่า

ตามฝาผนังมีรอยปูนแดงเป็นจุดๆ พระองค์ตรัสถามสมุหราชมณเฑียรว่า

“ใครเป็นผู้เอาปูนแดงมาป้ายกำแพง”

สมุหราชมณเฑียรทูลว่าพวกมหาดเล็กได้สลัดปูนที่ป้ายบนใบพลูมากเกินไป ออกไปติดกำแพง

ดังนั้นพระองค์จึงมีรับสั่งว่า

“บุคคลแรกที่สลัดปูนออกจากใบพลู ไปถูกกำแพงจะต้องตัดนิ้วชี้ออก”  สองสามวันต่อจากนั้น

ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ในห้อง ณ พระบรมมหาราชวัง พระองค์ต้องการเสวยพระศรี

และทอดพระเนตรเห็นว่ามีปูนมากเกิน ก็ปาดออกด้วยนิ้วชี้และป้ายไปบนกำแพง

เมื่อพระองค์ทรงตระหนักว่า ได้ทำในสิ่งที่พระองค์ห้ามไว้ก็ทรงชักกริชออกมา (ตามที่ได้มีผู้กล่าวกัน)

ตัดนิ้วทิ้งไปพร้อมรับสั่งว่า

“ เจ้าทำความร้ายไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเรา ดังนั้นเราจึงไม่ต้องการเจ้าเพราะเจ้าไม่มีค่าอีกแล้ว”

 

เรื่องที่ 3 จับช้างมาสู้กับเสือ

 

เรื่องนี้มาจาก จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม บันทึกไว้โดย Simon De La Loubare

ราชทูตฝรั่งเศส ที่เข้ามาในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในช่วงแรก ลา ลูแบร์เล่าว่า

 

“...คนสยามชอบการชนไก่มาก โดยถ้าไก่ที่กำลังชนกันอยู่ล้มลง เขาก็จะให้มันดื่มน้ำแล้ว

ไก่ก็จะสามารถลุกขึ้นมาชนต่อได้อีก แต่ทว่าการชนไก่มักจะจบลงด้วยความตายของไก่

ตัวใดตัวหนึ่งเสมอ พอเป็นแบบนี้บ่อยๆ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเลยออกประกาศห้าม

การชนไก่ โดยทรงอ้างเหตุผลว่า เป็นเพราะพระสงฆ์บอกว่า เจ้าของไก่จะต้องตกนรก

 

  จากนั้น  ลา ลูแบร์  ก็เล่าอีกเรื่องหนึ่งที่มีความระทึกมากกว่าการชนไก่ นั่นคือ การต่อสู้กัน

ระหว่างช้างกับเสือ โดย ลา ลูแบร์ออกตัวว่า ไม่ได้ไปดูการต่อสู้ด้วยตัวเอง แต่มีคนอื่น

เอามาเล่าให้ฟังอีกที คัดลอกมาดังนี้

 

“...ข้าพเจ้างดเสียมิได้ไปชมการต่อสู้ระหว่างช้างกับเสือ ด้วยสมเด็จพระเจ้ากรุงสยาม

หาได้เสด็จพระราชดำเนินไปประทับทอดพระเนตรด้วยไม่ และข้าพเจ้าได้ทราบมาว่า

เขาจะไม่ปล่อยให้มันต่อสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิง เต็มความกล้าหาญของมัน มีผู้ที่ได้ไปชม

กลับมารายงานให้ข้าพเจ้าทราบว่า เสือนั้นขี้ขลาดมาก และการแสดงในวันนั้นก็ไม่ค่อย

ได้ผลสำเร็จดีเท่าไรนัก”

 

เรื่องที่ 4 วิธีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา

 

  เรื่องนี้นำมาจาก พรรณนาอาณาจักรสยาม ในหนังสือรวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยาของฟานฟลิต

(วัน วลิต) เล่าวิธีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาเวลาสู้คดี ซึ่งอาจจะดูมีความโหดมากสำหรับพวกเราในปัจจุบัน ไว้ดังนี้

 

“...ผู้ถูกกล่าวหาไม่อาจถูกลงโทษจากการถูกกล่าวหาเท่านั้น แต่จากการร้องขอของเขา

พวกผู้พิพากษาต้องยอมให้เขาป้องกันตัวเองจากพวกที่กล่าวหาเขา ด้วยวิธีการทรมานตนเอง

เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เช่น การดำน้ำ การเอามือจุ่มลงไปในน้ำมันร้อนๆ ลุยไฟ กินก้อนข้าวเสก

วิธีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยวิธีดังกล่าว กระทำกันในที่สาธารณะ และในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหา

ไม่สามารถทำการพิสูจน์อย่างใดอย่างหนึ่งนี้แล้ว เขาต้องถูกลงโทษมากน้อยตามแต่ความสำคัญของคดี”

 

เรื่องที่ 5 สุดหลอนพิธีกรรมสังเวยปีศาจ

 

   เรื่องนี้มาจาก พรรณนาอาณาจักรสยาม ในหนังสือรวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยาของฟานฟลิต

 (วัน วลิต) เล่าถึงวิธีกรรมสุดหลอนอย่างหนึ่ง ซึ่งมีการบูชาสังเวยปีศาจ อ่านดูแล้วลองคิดตามว่า

น่าจะเป็นพิธีกรรมอะไร ดังนี้

 

“...พวกนอกศาสนาเหล่านี้ เชื่อผีเชื่อลางอย่างยิ่ง และมีศรัทธายึดมั่นในศาสนาของตน

อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้บูชาพวกปีศาจอย่างเปิดเผย  อันขัดต่อความคิดเห็นและการร่ำเรียนมา

ของพวกพระสงฆ์จำนวนมาก ปีศาจในความเห็นของพวกพระสงฆ์นี้ เป็นต้นเหตุของความชั่วร้าย

เหมือนเทวดาทั้งหลายเป็นต้นตอของความดี ในกรณีที่เกิดเจ็บไข้ได้ป่วย พวกเขาจะมีการเลี้ยงอาหาร

อย่างแปลกๆ เต็มไปด้วยพิธีรีตอง  ดื่ม เต้นรำ กระโดด มีการนำผลไม้และสัตว์จำนวนมากมาสังเวย

และเมื่อสัตว์เหล่านี้ตายในขณะที่การเต้นรำและร้องเพลงกำลังดำเนินไป นี่เป็นเครื่องหมายว่า

พวกเขาได้ปรองดองกับปีศาจแล้ว และคนเจ็บก็จะหายจากอาการป่วย ในการสังเวยบวงสรวงปีศาจนั้น

มีสิ่งน่ากลัวน่ารังเกียจ และไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นบ่อยๆจนไม่เหมาะกับพวกคริสเตียน ที่จะดูพิธีเหล่านี้

เพราะบางทีในการจัดเลี้ยงนี้มีผู้หญิงเข้าร่วมพิธีด้วย ซึ่งโดยวัยสูงอายุของพวกเขามีอาการหลัง

แข็งหลังค่อม ไม่อาจเต้นรำได้ แต่โดยอำนาจของปีศาจ ทำให้สามารถแสดงและกระโดด

ในลักษณะแปลกๆได้ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปกันได้กับสภาพที่อ่อนแอและสูงอายุของพวกเขา

ถ้าหากเอาหญิงรุ่นๆมาเต้นรำ ก็เชื่อแน่ว่าปีศาจคงชอบใจมากกว่า แน่ล่ะ ปีศาจถึงเกี่ยวข้อง

ในทางกามกับหญิงสาวเหล่านั้นด้วย  ด้วยการประกอบพิธีสังเวยและบูชายัญดังกล่าว

พวกคนที่มีความคิดเหลวไหลน่าสงสารเหล่านี้ ได้พยายามสร้างไมตรีกับเจ้านาย

ที่มีอำนาจของเขา และด้วยเหตุผลนี้ เราอาจสรุปได้ว่า พวกเขาได้ยอมหมอบราบคาบแก้ว

ให้แก่ความร้ายกาจของพวกปีศาจนั้นอย่างสิ้นเชิง และเห็นว่าเป็นการทิ้งพระผู้เป็นเจ้าไปอย่างหมดสิ้น”

 

เรื่องที่ 6 สุดสยองการลงโทษพวกกินสินบน

 

   🥰 เรื่องนี้นำข้อมูลมาจาก หนังสือ การท่องเที่ยวผจญภัยของแฟนังด์ มังเดส ปินโต ค.ศ.1537  - 1558

เขียนโดย ปินโต โปรตุเกส ซึ่งเข้ามาในอยุธยาแผ่นดินสมเด็จพระไชยราชา เรื่องนี้จะทำให้เรารู้ว่า

การลงโทษคนผิดในสมัยโบราณนั้นโหดร้ายแค่ไหน

 

🥰 ใน ค.ศ.1545 ปีเดียวกันนั้น โดยที่พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ จะขับไล่กษัตริย์ชาวทุปาระโห (Tuparahos)

ซึ่งล่วงล้ำเข้ามาในราชสีมาอาณาจักร ทางด้านเมืองพิษณุโลก พระองค์ทรงจัดเจ้าพนักงานไปดำเนินการเกณฑ์ราษฎรทั่วประเทศ

มีคนหนึ่งไปรับสินบาทค่าสินบนจากคนมั่งมีเมืองบันชา (Buncha)เข้า ไม่เกณฑ์เข้าเป็นทหาร นำแต่คนจนที่แทบไม่มีเครื่องนุ่งห่มพันกาย

กับคนแก่และคนพิการมา พระเจ้ากรุงสยามจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หลอมโลหะเงิน 5 ตูร์มเป็นมูลค่าถึง 6 ดูกาต์

กรอกเข้าไปในปากตามความผิดที่ได้กระทำมา (คือกินสินบน) ส่วนพวกที่ติดสินบนเจ้าพนักงาน เพื่อไม่ต้องถูกเกณฑ์ไป

ในงานพระราชสงครามนั้น ก็โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้แต่งกายเป็นอิสตรี และเนรเทศไปอยู่เสียที่เกาะหนึ่ง ชื่อว่าเกาะกาตัง

(Poulo Catan) และโดยที่ ชาวโปรตุเกส 160 คนที่ไปในกองทัพนั้นค่อนข้างจะโอ้เอ้ อยู่ล้าหลังกว่าคนอื่นๆ จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม

ให้กลับไปกรุงศรีอยุธยาเสีย และตลอดเวลาที่ยังพำนักอยู่ ณ ที่นั้น ห้ามมิให้อ้างชื่อว่าเป็นชาวโปรตุเกส และห้ามออกนอกบ้านเด็ดขาด

มิฉะนั้นแล้วจะลงพระอาญาโกนหนวดเคราเสียให้สิ้น”

 

**การโกนหนวดโกนเคราในสมัยนี้ อาจจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไป แต่ว่าในสมัยนั้นโดยเฉพาะฝรั่ง

ถือเป็นการเสื่อมเกียรติอย่างที่สุด ส่วนเรื่องการหลอมโลหะแล้วกรอกเข้าปาก ถือเป็นการลงโทษ

แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน**

 

เรื่องที่ 7 ความพิสดารของจระเข้ในสยาม

 

   เรื่องนี้มาจาก พรรณนาอาณาจักรสยาม ในหนังสือรวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยาของฟานฟลิต

(วัน วลิต) ได้เล่าถึงเรื่อง การจับจระเข้ของชาวสยามไว้อย่างน่าหวาดเสียว และแถมท้ายด้วย

เรื่องพิสดารของจระเข้เอาไว้ ดังนี้

 

“...พวกสยามจับจระเข้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

พวกเขาจะเอาสุนัขตัวหนึ่ง ซึ่งพระสงฆ์ทั้งหลายลงเวทมนต์คาถาอาคมไว้แล้ว

ผูกโซ่เส้นหนึ่งพร้อมกับตะขอเกี่ยวหมูเค็มไว้รอบขาหลังของสุนัข

แขวนระฆังไว้กับตัวมัน เอาเชือกผูกตัวสุนัขแล้วดึงมันไปข้างหน้าข้างหลัง จนกระทั่ง

เสียงระฆังล่อจระเข้ให้เข้ามายังสุนัขที่ร้องครวญครางอยู่นั้น และงับเอาหมูเค็ม

ตะขอเบ็ดก็จะติดคอมัน และแล้วเจ้าสำราญก็ถูกจับมัด และถูกฆ่าอย่างคนไร้ค่า”

 

“...พยานเป็นจำนวนมากยืนยันว่าพวกคนที่อาศัยอยู่ตามริมน้ำได้ให้อาหารพวกจระเข้

ด้วยเหตุนี้ จระเข้จึงเชื่องมากและไม่ทำอันตรายแก่ผู้ใด เมื่อคนอาบน้ำในแม่น้ำ

มันก็มักเข้ามาเล่นกับพวกเขาด้วย แต่ก็มีอยู่บ่อยๆที่มันจู่โจมเอากับพวกวัวควายและกลืนกินเสีย

ขณะที่พวกมันลงมาดื่มน้ำในลำธารเล็กๆ ในกรณีที่คนแปลกหน้าตกลงไปในน้ำใกล้ๆกับจระเข้

เขาผู้นั้นจะไม่ถูกปล่อยให้รอดไปได้ คนเป็นจำนวนมากอ้างว่า มีจระเข้ที่มี4 ตา คือตา 2 ตา

อยู่ตรงด้านหน้าของหัว และอีก 2 ตาอยู่ด้านหลัง สัตว์ร้ายเหล่านี้ไม่เคยพุ่งไปหาเหยื่อ

แต่จะผ่านเข้าไปใกล้ และใช้หางฟาดจับเหยื่อเข้าปาก ถึงแม้ว่าคำพรรณนาเรื่องจระเข้นี้ อาจเห็นว่าเหลือเชื่อก็ตาม

แต่พวกสยามก็เชื่อว่าทั้งหมดที่เล่ามานี้เป็นเรื่องจริง"

 

เรื่องที่ 8 สมเด็จพระนารายณ์ใช้ลิงลงโทษพระผู้ใหญ่

 

  เรื่องนี้สะท้อนถึงความเด็ดเดี่ยว ของสมเด็จพระนารายณ์ที่ไม่ยอมให้กฎหมู่มาอยู่เหนือกฎหมาย

ได้ข้อมูลมาจากหนังสือ ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา ฉบับตุรแปง ได้เล่าไว้ ดังนี้

 

...พระเถระผู้ใหญ่ผู้มีความภูมิใจในตำแหน่งของตน ที่มีหน้าที่คอยอ่านคำสอนถวายพระเจ้าแผ่นดิน

 ท่านได้ทูลแนะนำสมเด็จพระนารายณ์ว่า ประชาชนต่างพากันซุบซิบในเรื่องความเข้มงวดอย่างมาก

ของพระองค์ สมเด็จพระนารายณ์ทรงรับฟัง และไม่ทรงบอกให้ผู้ใดผู้หนึ่งทราบว่า ทรงไม่พอพระทัย

ในคำกราบทูลแนะนำ หลังจากวันนั้นพระองค์ทรงส่งลิง (สัตว์ซึ่งพวกคนไทยเกลียดชังมาก) ไปถวาย

พระเถระผู้นี้ เพื่อแสดงให้ท่านเข้าใจถึงความโง่เขลาของตน พร้อมกับตรัสสั่งให้เลี้ยงดูลิงให้ดี

และปล่อยให้มันเล่นได้ทุกอย่างห้ามขัดขวาง พระเถระต้องได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง

เนื่องจากลิงได้ทำลายสิ่งของเครื่องใช้หมด ทำลายพวกเครื่องถ้วยชามและไล่กัดพวกคนใช้ ในที่สุด

ท่านก็โกรธมากเพราะมันล่อหลอกท่าน ท่านจึงทูลอ้อนวอนให้สมเด็จพระนารายณ์ ทรงรับลิงคืนไป พระองค์จึงตรัสว่า “

ท่านไม่สามารถจะจัดการกับความยุ่งยากเพียงเล็กน้อยอันเกิดจากเจ้าสัตว์นี้ ภายในระยะเวลาวันสองวันได้ แล้วไฉนท่านจึงต้องการ

ให้ฉัน อดทนไปตลอดชีวิตของฉัน กับการดูถูกดูแคลนของประชาชนเป็นพันๆครั้ง ซึ่งเลวร้ายกว่าการกระทำของลิงหมดทั้งป่า”

 

“จงจำไว้เถิดว่า ถึงอย่างไรฉันก็จะลงโทษความชั่วให้มากขึ้น และจะพระราชทานรางวัลตอบแทนแก่คุณงามความดีด้วย”

 

  นี่คือคุณสมบัติของผู้นำที่ดีโดยแท้ เข้าใจว่าช่วงนั้นสมเด็จพระนารายณ์คงจะทรงออกกฎข้อบังคับ  ที่ค่อนข้างจะเข้มงวดหลายอย่าง

เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง แต่ว่าชาวบ้านคงจะบ่นกันเพราะว่า เคยอยู่กันแบบสบายๆ และแม้พระเถระชั้นผู้ใหญ่จะทูลทัดทาน

แต่พระองค์ท่านก็ยังทรงยึดมั่นในสิ่งที่เห็นว่า จะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองในระยะยาว

 

เรื่องที่ 9 อาถรรพ์ในวัดดัง

 

   เรื่องนี้มาจาก พรรณนาอาณาจักรสยาม ในหนังสือรวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยาของฟานฟลิต

(วัน วลิต) เล่าถึงเรื่องความมหัศจรรย์ของ วัดปรักหักพังแห่งหนึ่งในกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเกิดขึ้นในสมัย

สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ไว้อย่างน่าสนใจมากๆ ดังนี้

 

“...ในกรุงศรีอยุธยา ตรงเขตพระราชฐานของพระเจ้าแผ่นดิน มีวัดวัดหนึ่งตั้งอยู่ วัดนี้มีขนาดและความสูงเป็นพิเศษและไม่มีวัดใด

ในประเทศเทียบเท่า เสาหนามากกว่า 3 ฟาธอม แต่ทุกสิ่งทุกอย่างผุพังไปตามอายุสมัย และบางคนกล่าวว่า มันพังลงมาเพราะโดนฟ้าผ่า

วัดนี้เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียง และกล่าวกันว่า ทรัพย์สมบัติมหาศาลถูกฝังอยู่ใต้วัดนี้ แต่บรรดาพระสงฆ์ได้กล่าวถึงคำทำนายเก่าแก่ว่า

พระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นรัชทายาทที่แท้จริง และมาจากสายบริสุทธิ์ดั้งเดิมเท่านั้น จึงจะบูรณปฏิสังขรณ์วัดนี้ได้ พระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนๆ

หลายพระองค์ ได้ทรงเริ่มซ่อมแซมบูรณะวัดนี้ แต่ทุกๆพระองค์ซึ่งทรงเข้ามาจับงาน ได้สิ้นพระชนม์ในไม่ช้า พวกหัวหน้าผู้ดูแลงาน

และนายงานได้เสียสติเป็นบ้า ตาบอด และพบกับความวิบัติอื่นๆ เมื่อเสียผู้คนไปเป็นจำนวนมากแล้ว งานก็ต้องหยุดไป แม้ว่าคำทำนาย

และอะไรที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวเนื่องกับวัดนี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบดี และแม้ว่าพระองค์ก็ทรงรู้ด้วยว่า พระองค์ทรงแย่งมงกุฎมา

อย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็ตาม ความยโสและความหยิ่งของพระองค์ ได้ชักนำให้ทรงกระทำการต่อไปอีก เมื่อปีที่แล้วพระองค์ทรงคิด

จะเริ่มบูรณะปฏิสังขรณ์วัดนี้ แต่ด้วยคำทักท้วงของสมณะพราหมณ์ (ซึ่งกล่าวกันว่ามันเป็นช่วงเวลาที่โชคไม่ดี) ตลอดจนการลงความเห็น

ของพวกข้าราชการผู้ใหญ่ จึงไม่มีการดำเนินการต่อ เรื่องที่เล่าๆกันเกี่ยวกับวัดนี้ ยังมีเล่ากันมากกว่านี้อีก แต่ข้าพเจ้าเองไม่อาจประกันได้ว่า

เป็นความจริงไปทุกสิ่งข้าพเจ้าหวังว่าจะได้รับการอภัย ที่ขอหยุดเรื่องนี้ไว้เพียงเท่านี้”

 

**พระเจ้าปราสาททอง ทรงขึ้นครองราชย์ด้วยการแย่งอำนาจจากสมเด็จพระอาทิตยวงศ์**

เนื้อหาโดย: luckyforme

ขอบคุณ ยูทูปช่อง HOY APISAK-OFIFIAL
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
luckyforme's profile


โพสท์โดย: luckyforme
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: Thorsten
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ช็อก! "เชอรีน" น้องสาว "นิชคุณ" เลิกสามีแล้ว ลั่น! ต่อไปนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน4 คณะลับๆ ที่หลายคนไม่รู้จัก แต่ถ้าได้เรียนรับรองไม่ตกงานแน่นอนเจอมนต์ดำทำเสน่ห์หรือเปล่า ? ผัวนางร้ายถึงหลงมือที่ 3 ขนาดนี้เมื่อคุณแม่ย้อนวัย เอาชุด ม.ปลาย ลูกสาวมาใส่..ผลที่ได้หลายคนร้องว้าว! ทันทีนักวิชาการเตือน อย่าดราม่ากับพระพุทธรูปที่ลาวค้นพบทริคการหุงข้าวให้อร่อยมากยิ่งขึ้น มีหลายแนวทางเลยน๊า มาลองดูกันจ้าระทึก! เด็กวัยขวบเศษติดในรถในสภาพที่ร้อนจัดส่องทะเบียนรถ แมวคลอดลูกใต้ท้องรถ
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
นักวิชาการเตือน อย่าดราม่ากับพระพุทธรูปที่ลาวค้นพบเกาะที่ลึกลับและน่าสงสัยที่สุด ในพื้นที่ของมหาสมุทรอินเดีย
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
จังหวัดทางภาคเหนือของไทย ที่ถูกประกาศจัดตั้งขึ้นใหม่ล่าสุดเกาะขนาดใหญ่ 2 แห่งในโลก ที่มีประชากรมากกว่า 100 ล้านคน4 คณะลับๆ ที่หลายคนไม่รู้จัก แต่ถ้าได้เรียนรับรองไม่ตกงานแน่นอนคำแนะนำสำหรับการ เริ่มต้นใช้ภาพ กราฟฟิก
ตั้งกระทู้ใหม่