นม ทำไมคนส่วนใหญ่ควรหยุดดื่มมัน
เมื่อพูดถึงการดื่มนมแล้วหลายคนก็จะนึกถึงประโยชน์ของมันเช่น ทำให้ร่างการแข็งแรง ทำให้เราสูงใหญ่ ทำให้กระดูกแข็งแรง และ ประโยชน์ต่างๆ นาๆ ที่มาจากสารอาหารอันมากมายในนม ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกเลยที่คนส่วนใหญ่จะคิดว่าเราทุกคนควรดื่มนมทุกวันเพื่อสุขภาพ
แต่ทว่าให้ความเป็นจริงแล้วมีมนุษย์เพียง 60% โดยเฉลี่ยทั้งโลกที่มีความสามารถในการย่อยนมได้ และ มีมนุษย์เพียง 40% เท่านั้นที่จะยังสามารย่อยนมได้หลังโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยถ้าแบ่งออกไปตามชาติพันธุ์ตามความสามารถในการย่อยนมหลังเป็นผู้ใหญ่แล้ว
- ประมาณ 90% ของคนผิวขาวสามารถย่อยนมได้หลังเป็นผู้ใหญ่แล้ว
- ประมาณ 25% ของคนเชื้อสายแอฟริกันสามารถย่อยนมได้หลังเป็นผู้ใหญ่แล้ว
- เพียงประมาณ 5% ของคนเอเชียสามารถย่อยนมได้หลังเป็นผู้ใหญ่แล้ว
(*ขอพูดถึงเพียงแค่ 3 ชาติพันธุ์นี้เท่านั้นเพื่อความกระชับของบทความ)
เหตุผลที่ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ในโลกไม่สามารถย่อยนมได้นั้นมากจากอาการที่มีชื่อว่าการ “แพ้น้ำตาลแล็กโทส” (Lactose Intolerance) ซึ่งน้ำตาลแล็กโทส นั้นจะพบได้ในนม และ ผลิตภัณฑ์นมต่างๆ อาการแพ้น้ำตาลแล็กโทสสามารถส่งผลให้เกิดอาการ 1) ท้องเสีย 2) ท้องผูก 3) คลื่นไส้ 4) ท้องอืด หรือ 5) อาเจียน ได้ โดยความรุนแรงนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคน
อาการแพ้น้ำตาลแล็กโทสนั้นจะเริ่มเกิดขึ้นในเด็กระหว่างอายุ 2-4 ขวบขึ้นไป โดยระดับการแพ้จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อเด็กมีอายุมากขึ้น เหตุที่คนเราเริ่มมีอาการแพ้น้ำตาลแล็กโทสมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นเป็นเพราะธรรมชาติสร้างให้ร่างกายมนุษย์สามารถดื่มนม และ มีเอนไซม์ที่มีสามารถย่อยนมได้ในช่วงที่ยังเป็นเด็กทารกเนื่องจากต้องพึ่งนมแม่ และ จะเริ่มผลิตเอนไซม์ที่มีความสามารถย่อยนมนี้น้อยลงๆ ตามอายุที่มากขึ้นจนร่างกายเลิกผลิตเอนไซม์นี้ไปเอง (*อาการแพ้น้ำตาลแล็กโทส ไม่เหมือนกับการ แพ้นมวัว เพราะเป็นผลมาจากการที่ร่างกายขาดเอนไซม์ที่มีความสามารถย่อยนมไป แต่อาการ แพ้นมวัว จะเป็นการแพ้โดยมีอาหารในเชิงภูมิแพ้ เช่น เป็นผื่นคัน หรือ หายใจไม่ออก)
การที่มีผู้ใหญ่บางส่วนที่ไม่มีอาการ แพ้น้ำตาลแล็กโทส นั้นเป็นผลมาจากวัฒนธรรมในบริโภคอาหารของคนแต่ละกลุ่มที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งส่งผลให้ยีนของคนบางกลุ่มมีการพัฒนาให้ร่างกายยังสามารถผลิตเอนไซม์ที่มีความสามารถย่อยนมได้อยู่ถึงแม้จะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม ตัวอย่างเช่น คนคนผิวขาวที่มีวัฒนธรรมในบริโภคนม แลพ อาหารที่ใช้นมเป็นส่วนผสมมาแต่โบราณ กับ คนเอเชียที่ก่อนจะได้รับวัฒนธรรมในบริโภคนมวัว และ อาหารที่ใช้นมเป็นส่วนผสมจากตะวันตกมา ก็แทบจะไม่มีการใช้นมในวัฒนธรรมการปรุงอาหารเลย จึงเป็นผลให้ผู้ใหญ่เอเชียส่วนใหญ่นั้นไม่สามารถดื่มนมได้ เป็นต้น
ด้วยเหตุที่คนเอเชียส่วนมากจึงไม่ทราบว่าคนเอเชียส่วนใหญ่นั้น แพ้น้ำตาลแล็กโทส จึงทำให้คนเอเชียจำนวนมากยังคงบริโภค นม และ อาหารที่ใช้นมเป็นส่วนผสมต่อไปเพราะคิดว่ามันดีต่อสุขภาพ ทั้งๆ ที่ตัวเองอาจได้รับผลของการแพ้น้ำตาลแล็กโทสเช่น ท้องเสีย ท้องผูก หรือ ท้องอืด อย่างไม่รู้ตัว (*อาการ คลื่นไส้ หรือ อาเจียน มักเป็นอาการที่ชัดเจนเพราะเห็นผลทันที แต่อาการ ท้องเสีย ท้องผูก หรือ ท้องอืด เรามักไม่ใส่ใจเพราะเรามักจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา)
วิธีการตรวจสอบง่ายๆ ว่าตัวเราว่าเป็นคนที่มีอาการ แพ้น้ำตาลแล็กโทส หรือไม่นั้นสามารถทำได้ด้วยการทดลองกับตัวเอง และสังเกตผลที่มีกับตัวเรา ตัวอย่างเช่น:
- ถ้าเราเป็นคนที่มักจะ ท้องเสีย ท้องผูก หรือ ท้องอืด อยู่บ่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ลองไม่ดื่ม นม หรือ ทานอาหารที่มีส่วนผสมของนมดูเป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ถ้าอาการดังกล่าวหายไปแสดงว่าเราคงมีอาการแพ้น้ำตาลแล็กโทส
- ถ้าเราแค่อยากรู้ว่าเราเป็นแพ้น้ำตาลแล็กโทสหรือไม่ ก็เพียงลองดื่มนมดู ถ้ามีอาการเราก็คง แพ้น้ำตาลแล็กโทส
ต่อไปนี้คือทางเลือกที่เราสามารถเลือกได้ถ้าเราพบว่าเรามีอาการ แพ้น้ำตาลแล็กโทส:
- ถ้าอาการแพ้น้ำตาลแล็กโทสของเรานั้นรุนแรง ทางที่ดีที่สุดคือการเลิกบริโภค นม และ อาหารที่ใช้นมเป็นส่วนผสมไปเลย
- ถ้าเรามีอาการแพ้แต่ยังชอบดื่มนมอยู่ดีก็อาจลดปริมาณนมที่เราดื่มต่อวันเพื่อลดอาการลง
- การบริโภคอาหารที่ใช้นมเป็นส่วนผสมเช่น ชีส หรือ โยเกิร์ต แทนการดื่มนม ก็อาจเป็นอีกทางเลือก เพราะว่าปริมาณน้ำตาลแล็กโทสในผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีน้อยกว่านม ซึ่งจะสามารถลดอาการแพ้น้ำตาลแล็กโทส หรือ ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้น้ำตาลแล็กโทสเลยถ้าเราเป็นคนที่มีอาการแพ้น้อย
แต่ถึงยังไงซะ ถ้าเรายังอยู่ในวัยที่ยังเติบโตอยู่ (กำลังพูดถึงน้องๆ ที่อาจใช้อาการ แพ้น้ำตาลแล็กโทส มาเป็นข้ออ้างไม่ดื่มนม) และ ไม่มีอาการแพ้รุนแรง ยังไงเราก็ควรพยายามดื่มนมให้ได้ไม่มากก็น้อยไว้นะ เพราะในวัยนี้การร่างกายต้องการแคลเซียมเพื่อไปเสริมสร้างกระดูกให้เราสูงใหญ่ แต่ถ้าแพ้รุนแรงตั้งแต่วัยเด็ก แนะนำให้พบแพทย์ และ เลือกทานอาหารอื่นๆ นอกจากนมที่มีแคลเซียมสูงแทน